บก.ฟอรั่ม : ฉบับวันที่อาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2556

เวลา 18.58 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปในการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
 เวลา 14.56 น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จฯไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
เวลา 14.56 น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จฯไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

VEK_0962 VEK_0917 VEK_0925

 

 

 

Advertisement

บก ฟอรั่ม

อย่าแค่โก้ๆ

เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน

Advertisement

ขอแจ้งเรื่องการให้บริการของรถบัส บขส.สายกรุงเทพฯ-สระบุรี ในช่วงเทศกาล เช่น สงกรานต์ ปีใหม่ เป็นต้น จะเอารถเมล์ ขสมก.ของกรุงเทพมหานครมาวิ่งแทนรถบัส บขส.ที่วิ่งอยู่ปกติ โดยอ้างว่ารถบัส บขส.ไม่พอ ต้องเอาไปวิ่งรับส่งผู้โดยสารทางสายเหนือ สายอีสานแทน เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว

ที่อยากจะพูดคือรถเมล์ ขสมก.ที่มาวิ่งแทนแตกต่างจากรถบัสของ บขส. ทั้งสภาพรถและเก้าอี้ที่นั่ง แต่เก็บค่าโดยสารเท่ากับรถบัส บขส. เป็นการเอาเปรียบผู้โดยสารชัดๆ

ผู้โดยสารที่นั่งจากขนส่งหมอชิตไปสระบุรีต้องทนปวดหลัง ปวดเอว เพราะที่นั่งไม่เหมือนกับรถบัส บขส. ต้องทนปวดขาเพราะยืดขาไม่ได้ ปัญหาที่มีผลกระทบต่อผู้โดยสาร รถเมล์ ขสมก.ใช้วิ่งรับส่งผู้โดยสารระยะสั้นภายในกรุงเทพมหานคร ผู้โดยสารขึ้นไม่กี่ป้ายก็ลงเป็นส่วนใหญ่

ขอฝากท่านบรรณาธิการแล้วผ่านไปยังผู้บริหาร บขส.ให้รับทราบและช่วยแก้ไขปัญหาให้ด้วย ให้ปัญหาหมดไป อย่าแก้ปัญหาแบบขอไปทีเฉพาะช่วงเทศกาลปัญหาก็จะไม่จบ

ทุกๆ ปีที่ผ่านมาผู้โดยสารก็บ่นกันเยอะ แต่ไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใครที่ไหน ขอให้ผู้บริหาร บขส.ใช้สมองคิดให้มากๆ ในการแก้ไขปัญหาให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ บขส.ให้ปัญหาหมดไป เกิดความพึงพอใจต่อผู้โดยสาร

อย่างสโลแกนของ บขส.ที่ว่า “ขนส่งทุกความสุข ทุกเส้นทาง” อย่าเขียนแค่สร้างภาพ อย่าเขียนแค่โก้ๆ

ขอขอบคุณท่านบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชนมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้โดยสารรถ บขส.

ตอบ คุณผู้โดยสารฯ

ถ้าเอารถประจำทางในกรุงเทพฯไปวิ่งระยะยาว ผู้โดยสารไม่มีความสุขแน่นอน เพราะรถสร้างมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน

ฝากผู้เกี่ยวข้อง ยามเทศกาล อย่าคิดกอบโกยให้มากเกินไป คิดถึงการบริการ ดูแลให้ประชาชนได้เดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยครับ

 

 

การอ่าน

เรียน บก.ฟอรั่มที่นับถือ

ถึงแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าแค่ไหน แต่ดิฉันก็ขอยืนยันว่าการอ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลายก็ยังมีความสำคัญอยู่มาก เพราะเป็นสื่อที่ราคาถูก สามารถอ่านได้ตลอดเวลา ไม่เสียสายตาเท่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์

มีวิธีเดียวที่จะช่วยให้การอ่านของเด็กไทยเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือทุกๆ ฝ่ายต้องร่วมมือกันส่งเสริมการอ่าน ดังที่ “สมาคมไทสร้างสรรค์” ได้จัดโครงการ “อ่านหนังสือให้น้องฟัง” เป็นโครงการดำเนินการในพื้นที่ 22 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ขอนแก่น หนองบัวลำภู สุรินทร์ และลำปาง มีพี่ๆ ที่เป็นอาสาสมัครได้ช่วยให้เด็กเล็กๆ ได้ฟังการอ่านพูดชัดขึ้น สามารถจำเรื่องราวต่างๆ ได้

ขณะเดียวกัน เด็กโตขึ้นมาก็ได้ความรู้ อ่านเขียนได้คล่องแคล่ว มีทักษะการอ่าน รักการอ่าน รักน้อง พ่อ แม่ และท้องถิ่น มีความรับผิดชอบสูงขึ้น และได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่าน ทำให้ขยัน รักเรียน และตั้งใจเรียนเพราะการอ่านเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้นั่นเอง

โครงการเช่นนี้น่าจะมีจิตศรัทธา หรือมีใจรักการอ่านส่งเสริมในชุมชนของตน โรงเรียนมีส่วนอย่างมากที่จะเป็นหัวหอกในการชักชวนให้มีโครงการนี้ อาสาสมัครก็น่าจะมีค่าขนมให้บ้าง จะช่วยทำให้พี่อาสาสมัครกระตือรือร้น แม้เรื่องเงินจะไม่สำคัญก็ตาม

ได้ข่าวว่าบางโรงเรียนทุ่มเงินจำนวนมากในการส่งเสริมเด็กให้เข้าประกวดเป็นนักร้อง ซึ่งได้ประโยชน์ไม่กี่คน น่าจะส่งเสริมเรื่องการอ่านให้ลือลั่นก็จะดังได้มากทีเดียว แต่ต้องใช้เวลามากถ้านักเรียนของเราประสบผลสำเร็จในชีวิตหลายๆ คน ดังกล้วยไม้ที่ออกดอกช้า แต่สวยงามน่าชื่นใจ ทั้งสวยและหอมทนนาน

เอาล่ะ เราน่าจะช่วยกันคิดว่าเราจะส่งเสริมการอ่านด้วยวิธีอะไรบ้าง เคยมีอาจารย์ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า เขาจ้างลูกสาวที่เรียนอยู่ชั้นประถมอ่านอิเหนา รามเกียรติ์ ขุนช้างขุนแผน ฯลฯ ให้ฟัง เด็กก็ขมีขมันมาก ตอนแรกดิฉันก็นึกตำหนิอยู่ในใจ ทำเป็นฝรั่งไปได้ ทำงานบางอย่างเช่นตัดหญ้าก็ต้องจ้าง

แต่มาคิดดูอีกทีว่าทำไมต้องจ้าง แต่ปรากฏว่าหลายปีที่ผ่านไปเด็กคนนั้นเรียนจบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาก

นอกจากนั้นยังระลึกถึงในสมัยก่อนที่พ่อแม่นอนเล่นแล้วให้ลูกหลานผลัดเปลี่ยนมาอ่านวรรณคดีเหล่านี้ให้ฟัง ผลก็ปรากฏว่า เด็กได้ซึมซาบวรรณคดีเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว สามารถเรียนรู้ได้เร็ว เรียนเก่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง

แต่สมัยนี้ยังสงสัยว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายจะมีเวลาให้ลูกหลานมาอ่านให้ฟังหรือไม่ และถ้ามีเวลาจะให้รางวัลเป็นเงินค่าขนม ก็น่าจะเป็นแรงจูงใจให้เด็กอยากอ่านทีเดียว อย่าคิดว่าจะเสียนิสัย

การอ่านมากๆ ทำให้มีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ โจชัว หว่อง อายุเพียง 19 ปีแต่มีวุฒิภาวะมากกว่าเด็กหลายคนทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กไทยที่ยังเป็น “คุณหนู” อยู่

ความจริงเด็กไทยก็เก่งนะ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง เต้นท่าต่างๆ เรียนรู้ได้เร็วมาก ถ้าส่งเสริมการอ่านให้มากกว่านี้ รับรองประเทศไทยไปโลด แต่สำคัญที่ผู้นำจะเอาจริงหรือไม่ อย่ามัวแต่บ่น ทำเลยๆ

ขอแสดงความนับถือ
รศ.ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์
มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ตอบ รศ.ฉวีวรรณฯ

รายการทีวีปกติ มีแต่เรื่องร้องรำทำเพลง เวลาพูดถึงเด็กสมัยใหม่ที่มีความมั่นใจในการแสดงออกก็มักเป็นการแสดงออกในเรื่องการร้องรำ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะทีวีต้องการสร้างรายการบันเทิง และเสาะหานักร้องนักแสดงอยู่ตลอดเวลา เพื่อผลทางธุรกิจ ก็เป็นธรรมดาที่รายการทีวีที่ให้เด็กมาแสดงความรู้ความสามารถจากการอ่าน จะมีสัดส่วนน้อยกว่ามากหรือไม่มีเลย

ผู้ใหญ่คิดได้แค่ไหน เด็กก็จะโตมาในกรอบนั้น เว้นแต่จะมีเด็กที่คิดเองเป็น หรือพ่อ แม่ ครู ไม่เดินตามกระแส ก็อาจจะโตมาเป็นเด็กแบบโจชัว หว่อง ให้ผู้ใหญ่อีกกลุ่มปวดกบาล

แต่ถ้าไม่เลี้ยงเด็กให้มีความรู้ รับความรู้จากหลายๆ ช่องทาง กล้าคิดเองทำเอง กล้าริเริ่ม อนาคตของประเทศก็น่าห่วง โดยจะโทษใครไม่ได้ นอกจากผู้ใหญ่ในวันนี้นั่นเองครับ

 

 

ไม่เห็นด้วย

เรื่อง ไม่เห็นด้วยการที่จะแยกการอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาธิการ

เรียน นายกรัฐมนตรี ผ่านบรรณาธิการ นสพ.มติชน

ผมติดตามข่าวเรื่องที่จะแยกการศึกษาระดับอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย) ออกจากกระทรวงศึกษาธิการนั้น ผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง โดยมีเหตุผล ดังนี้

1.การศึกษาของไทยมี 3 ระดับ คือ 1.ประถมศึกษา 2.มัธยมศึกษา และ 3.อุดมศึกษา อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ดีแล้วถูกต้องแล้ว จะแยกไปทำไม

คำว่า ศึกษาธิการ แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในการศึกษา ต้องกำกับดูแลทุกระดับ อยู่ในสังกัดเดียวกันถูกต้องแล้ว จะแยกแหกคอกออกไปทำไม เสียระบบ เสียเอกภาพในการจัดการศึกษา เสียงบประมาณ ฯลฯ ปัจจุบันเข้าที่เข้าทางดีอยู่แล้ว

2.ถ้าจะแยกตั้งเป็นกระทรวงการอุดมศึกษาจริงๆ ผมก็ขอให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงศึกษาธิการเสียใหม่ เพราะไม่ได้คุมการศึกษาทั้งหมด ไม่ได้ใหญ่จริงๆ (ศึกษาธิการ) คือให้แยกกันเป็น 3 กระทรวงซะเลยตามระดับการศึกษา คือ 1.กระทรวงการอุดมศึกษา (ดูแลการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปถึงปริญญาเอก) 2.กระทรวงการมัธยมศึกษา (ดูแลการศึกษาระดับกลาง ม.1-ม.6 และอาชีวศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนที่สอนต่ำกว่าปริญญาตรี) และ 3.กระทรวงการประถมศึกษา (ดูแลตั้งแต่เด็กแรกเกิด อนุบาล ประถม 1-ประถม 6)

3.การศึกษาทั้ง 3 ระดับต้องเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ ประถมศึกษา-มัธยมศึกษา-อุดมศึกษา โดยเฉพาะประถมและมัธยม (การศึกษาขั้นพื้นฐาน) สอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น มีคุณธรรมจริยธรรม แล้วส่งต่อให้อุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย) สอนวิชาชีพวิชาการชั้นสูงต่อไปตามหน้าที่ จะไปแยกกันทำไม ผมจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้าจะแยกก็ให้จัดการตามข้อ 2.

4.ถ้าหน่วยงานอื่นจะเอาแบบนี้บ้าง เช่น กองทัพบกบอกอยู่กับกระทรวงกลาโหมไม่ได้รับความสะดวก บริหารงานไม่คล่องตัว ขอแยกออกจากกระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงการทหารบก เป็นเอกเทศ แบบการอุดมศึกษาขอแยกออกจากกระทรวงศึกษาธิการบ้าง ถ้าเป็นแบบนี้บ้านเมืองจะยุ่งวุ่นวายไปใหญ่

5.จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และพิจารณาให้ดี ขอขอบคุณอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ
ประชาชนชาวไทยเจ้าของประเทศ

ตอบ คุณประชาชนฯ
อีกความเห็นที่มองต่างมุมในเรื่องการแยกเอาการดูแลมหาวิทยาลัย หรืองานอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาฯครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image