Dirty Money : The Man At The Top เก้าอี้ผู้นำและราคาที่ต้องจ่ายของ ‘นาจิบ ราซัค’

 


Dirty Money : The Man At The Top

เก้าอี้ผู้นำและราคาที่ต้องจ่ายของ ‘นาจิบ ราซัค’

นอกจากข่าวนายกรัฐมนตรีไทยกับวาระดำรงตำแหน่ง 8 ปี ที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพื่อรอศาลรัฐธรรนูญที่รับตีความเรื่องนี้ใช้เวลาไปพิจารณาวินิจฉัย ระหว่างนี้ก็ได้รองนายกรัฐมนตรีอีกคนมาเป็นนายกฯรักษาการ เป็นข่าวใหญ่ในบ้านเราแล้ว อีกหนึ่งข่าวใหญ่ของเพื่อนบ้านประเทศมาเลเซียก็มีเช่นกัน เมื่ออดีตผู้นำมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ต้องกลายสถานะจากนายกรัฐมนตรีสู่นักโทษในที่สุด หลังจากศาลสูงสุดมาเลเซียตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาลว่าเขามีความผิดจริงตามข้อหารับเงินที่ถูกยักยอกมาจากกองทุน 1เอ็มดีบี (1MDB) 1Malaysia Development Berhad ที่อื้อฉาว ต้องรับโทษจำคุก 12 ปีทันที

Advertisement

อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของมาเลเซียยาวนานถึง 9 ปี กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศที่ต้องโทษจำคุก คุยกันถึงเรื่องการเมืองของผู้นำประเทศมาแบบนี้ เลยอยากจะแนะนำให้ดูซีรีส์สารคดีเรื่องหนึ่งกันในเน็ตฟลิกซ์ Dirty Money ตอน The Man At The Top เป็นตอนที่เกี่ยวกับเรื่องราวของ “นาจิบ ราซัค” หลังคดีฉาว 1MDB

“The Man At The Top” เป็น 1 ใน 6 ตอน ของซีรีส์สารคดีชุด “Dirty Money” ซีซั่นสอง คอนเซ็ปต์ของซีรีส์ชุดนี้คือการพูดถึงเรื่องราวที่เป็นประเด็นที่สังคมตั้งคำถามเบื้องหลังโลกการเงินเจ้าปัญหา

Advertisement

ตัวสารคดีใช้เวลาเล่าถึงเรื่องราวกองทุน “1MDB” หนึ่งในกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศมาเลเซีย ที่ถูกแฉว่ามีเงินหายไปจากการบริหารกองทุนกว่าแสนล้านบาท และตัวกองทุนมีหนี้สินมหาศาล

ไฮไลต์หลักของสารคดีตอนนี้คือ การสัมภาษณ์พิเศษ “นาจิบ ราซัค” อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งในช่วงที่สารคดีถ่ายทำและเผยแพร่ออกมานั้น “นาจิบ” อยู่ระหว่างต่อสู้คดีจากการถูกตั้งข้อกล่าวหาและถูกตรวจสอบถึงความไม่ชอบมาพากลในการบริหารกองทุนนี้

ซีรีส์สารคดีเล่าเรื่องสนุกเข้าใจง่าย เริ่มตั้งแต่พาไปทำความเข้าใจก่อนว่า “1MDB” คือ กองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อนำเงินของรัฐไปลงทุนหาประโยชน์กลับเข้าประเทศ โดยตั้งขึ้นในปี 2009 สมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค มีกระทรวงการคลังกำกับดูแล

กองทุนนี้ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์นำเงินมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจมาเลเซีย ด้วยคอนเซ็ปต์พัฒนามาเลเซียให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค โดยกองทุนเน้นเข้าไปลงทุนในโครงการต่างๆ ตั้งแต่ธุรกิจพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว แต่ในปี 2014 กองทุนรายงานผลขาดทุนกว่า 5,000 ล้านบาท และมีหนี้สินจำนวนมาก ปีต่อมา มีรายงานหนี้ของกองทุนมากกว่า 372,000 ล้านบาท กระทั่งปี 2016

สื่อมวลชนได้ติดตามรายงานข่าวสืบสวนสอบสวนจนพบว่า โครงการต่างๆ ที่ 1MDB ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้สร้างรายได้และกำไร นำมาสู่การเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการลงทุนของกองทุน 1MDB ว่าไปลงทุนที่ไหนบ้าง และลุกลามจนพบว่าเงินนับหมื่นล้านถูกโอนไปยังบัญชีส่วนตัวของนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น อีกทั้ง กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยังตรวจพบเส้นทางการฟอกเงินที่โยงใยจากเงินในกองทุนนี้ในธนาคารต่างประเทศ ผลที่สุดราจิบ ราซัค ต้องปิดฉากบุรุษหมายเลขหนึ่งของมาเลเซีย และกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ในปี 2018 เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับ “มหาธีร์ โมฮัมหมัด” และ 2 เดือนหลังแพ้การเลือกตั้ง นาจิบ ราซัค ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติของมาเลเซียจับกุมตัว เพื่อสวบสวนกรณีทุจริตกองทุน 1MDB

สารคดี “The Man At the Top” คือการย้อนรอยติดตามเส้นทาง 1MDB แบบเล่าเรื่องโดยย่อ ถึงบรรดา “บุคคล” ที่อยู่เบื้องหลังกองทุนนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่กำลังถูกทางการต้องการตัวมากที่สุดอย่าง “โจ โลว์” นักธุรกิจชาวปีนังผู้เกี่ยวข้องกับการตั้งกองทุนนี้ในระดับเบอร์ต้น ไปจนถึง “ริซา อาซิซ” บุตรบุญธรรมของนาจิบ ราซัค “รอสมาห์ มานซอร์” ภรรยาของนาจิบ

ตัวสารคดียังตั้งกล้องนั่งพูดคุยกับทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเปิดโปงทั้งระดับปัจเจก และสื่อมวลชนที่เกาะติดกองทุน 1MDB จนสั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อัยการสหรัฐ และชาวประมงในมาเลเซียที่เป็นกลุ่มฐานเสียงอันมั่นคงของนาจิบ ขณะที่ในฟากการเมืองคือการเชื้อเชิญทั้งมหาธีร์ โมฮัมหมัด และ อันวาร์ อิบราฮิม มาร่วมพูดคุยพร้อมกับการได้นาจิบ ราซัค มานั่งเปิดใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สลับกับการตัดฟุตเทจจากข่าวสารตามหน้าสื่อที่รายงานถึงความไม่ชอบมาพากลของกองทุน 1MDB

สารคดีพยายามให้น้ำหนักถ่วงดุลทั้งการนำเสนอเรื่องราวคอร์รัปชั่นที่ถูกเปิดโปง ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ “นาจิบ ราซัค” ได้พูดสิ่งที่เขาอยากจะพูด ไม่ว่าสิ่งที่พูดคือ “เรื่องจริง” หรือ “แก้ต่าง” ซึ่งเขาก็ใช้เหตุผลว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องการเมือง
ขณะเดียวกันเราจะได้เห็นการพยายามอธิบายเคลียร์ปมที่เขาและภรรยาถูกสื่อและประชาชนในมาเลเซียมองว่าใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย และยิ่งต้องไม่ลืมว่าภาพข่าวทั่วโลก เราได้เห็นตำรวจบุกเข้าไปยึดสินค้าหรูหรามูลค่า 240 ล้านเหรียญ ออกมาจากที่พักของราจิบ ประกอบด้วยกล่องใส่กระเป๋าถือแบรนด์เนม 284 ใบ และมีกระเป๋าเดินทาง 72 ใบ ที่ใส่เงินสด เพชรพลอย และนาฬิกาไว้

นาจิบยอมที่จะพูดถึงเงินสดที่ถูกยึดไปว่า “การเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เป็นประธานพรรค ผมก็แค่สานต่อธรรมเนียมของประธานพรรค นี่คือบัญชีความรับผิดชอบต่อสังคมทางการเมืองในชื่อของผม เงินบริจาคที่บริจาคมาเจาะจงมาให้ผมในฐานะผู้นำประเทศมาเลเซีย เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสังคมสงเคราะห์ และเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง

“ผมคิดว่าคนเราต้องยุติธรรม คุณต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณทำ แต่คุณจะโทษคนที่อยู่สูงสุดสำหรับทุกเรื่องที่ผิดพลาดไม่ได้ ผมว่าแบบนั้นไม่ยุติธรรม เขารู้ตั้งแต่แรกมากน้อยแค่ไหนล่ะ เขาตั้งใจจะโกงตั้งแต่แรกหรือเปล่า มีเจตนาร้ายตั้งแต่แรกหรือเปล่า”

สารคดีไม่ได้ปล่อยให้นาจิบ ราซัค ได้สิทธิพูดอยู่เพียงฝ่ายเดียว เพราะตัวเรื่องได้ตัดสลับการแสดงความเห็นของสื่อมวลชน บุคคล และนักการเมืองฝ่ายค้านที่ออกมาวิจารณ์และตรวจสอบรัฐบาลและนาจิบ ราซัค ว่าในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น พวกเขาถูกสกัดกั้นและมีการใช้อำนาจทางการเมืองจัดการกับความพยายามตรวจสอบทางการเมืองอย่างไรบ้าง

บทสรุปของสารคดี “The Man At The Top” ทำให้เราเห็นเลือดเนื้อชีวิตของ “นาจิบ ราซัค” ไม่ว่าจะดูน่าเห็นใจ น่าสมเพช หรือน่าติดตามในชะตากรรมของเขา บุคคลที่เป็นบุตรชายของหนึ่งในอดีตผู้ร่วมก่อตั้งประเทศมาเลเซีย และได้รับการเลี้ยงดูเพื่อให้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเขาก็เดินไปตามเส้นทางนี้ได้ตามความคาดหมาย และลงเอยที่ชีวิตต้องพลิกผันจากเรื่องคอร์รัปชั่น

“The Man At The Top” เล่าเรื่องโดยชี้ให้คนดูอย่างเราตั้งคำถามว่า เก้าอี้ผู้นำก็มีราคาที่ต้องจ่ายนั่นคือ ความรับผิดชอบ และความไว้วางใจจากประชาชน

ติสตู
(ภาพประกอบ Youtube Video / Netflix)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image