•…ชะตากรรมของ “ชาวนาไทย” ขึ้นอยู่กับ “อารมณ์ของสังคม” ที่มีต่อ “รัฐบาล” ในยุคสมัยที่ “นายกรัฐมนตรี” ถูกล้อมกรอบด้วยความชิงชัง กระทั่งเป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” คำสั่งไร้อำนาจที่จะให้เกิดการปฏิบัติตาม “มาตรการช่วยเหลือชาวนาทั้งหมดถูกต่อต้านครึกโครมกระทั่งกระดิกอะไรไม่ได้” คล้ายกับว่า “ยิ่งบีบคั้นให้เดือดร้อนมากเท่าไร ยิ่งชื่นอกชื่นใจของคนในกระแส” ผิดกับ “ยุคสมัยที่รัฐบาลมีอำนาจเต็ม” แค่ได้กลิ่นว่า “ชาวนา” เริ่มจะทนไม่ไหว ไม่ทันที่ “รัฐบาล” จะต้องขยับอะไรมาก “เสียงเรียกร้องให้ช่วยกันดังกระหึ่ม” เกิดกระแส “คนละไม้คนละมือ” ช่วยเหลือให้ “รัฐบาล” ไม่ต้องรับแรงกดดันจาก “ความเดือดร้อน” ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องที่ชวนวิเคราะห์ถึง “อำนาจแบบไทยๆ”
•…ดราม่า “น็อตหลุด-อัครณัฐ อิริยฤทธิ์วิกุล” ว่าด้วย “ตบบังคับกราบรถกู” เป็นเรื่องที่ชวนให้วิเคราะห์ “ความเป็นไปของสังคมไทย” ในหลายแง่ โดยเฉพาะในมุมของ “กระแสที่ลุกลามบานปลายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเขื่อนแตก” ส่งผลให้ “อารมณ์โกรธ” กลายเป็น “กรรมใหญ่สร้างวิบากกรรมรุนแรงและรวดเร็ว” พร้อมปะทะกวาดล้างทุกความเห็นต่างไป “ราพณาสูร” สภาวการณ์ของ “กระแสที่ก่อตัวรวดเร็วรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมนี้ จะส่งผลอะไรต่อการคอนโทรลสังคม” ย่อมเป็นเรื่องน่าคิดยิ่ง เพราะกระทั่งพาอารมณ์ตัวเองให้หลุดจากการไหลไปกับกระแสนั้น มา “ยืนมองด้วยสติ” ยังยากเย็น
•…เป็น “ยุคทองของอาชีพข้าราชการอย่างแท้จริง” ไม่เพียงแต่ได้รับการ “แบ่งอำนาจจากนักการเมืองในทุกระดับมาเพิ่มให้เพียบ” แล้วยังเป็น “ตัวเลือก” ของการแต่งตั้งเข้าไปรับตำแหน่งกรรมการหรือสมาชิกองค์กรต่างๆ อย่างกว้างขวาง เหมือนกับเป็น “อาชีพที่มีความรู้ความสามารถไปทุกเรื่องเหนือกว่าคนอาชีพอื่น” เท่านั้น แต่ใน “ฐานะข้าราชการเอง” ยังได้รับการเพิ่มอัตราค่าจ้างครั้งแล้วครั้งเล่า “เงินเดือน” และ “ค่าตอบแทน” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางหลักประกันชีวิตรูปของ “สวัสดิการข้าราชการที่ท่วมท้นอยู่แล้ว” จึงไม่แปลกอะไร ที่ยุคสมัยนี้ “ไม่ว่าลูกท่านหลานใคร” ล้วน “วิ่งเต้นกันเพื่อเข้ารับราชการ” เพราะเป็นที่รู้กันว่า “รายได้ดี สวัสดิการเยี่ยม”
•…เป็นเรื่องน่าเห็นใจ และเข้าใจได้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล ขอให้สังคม “อย่ากดดันการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้” ด้วยนับวันความซับซ้อนของเงื่อนไขสถานการณ์มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ และเมื่อ “พูดด้วยความไม่เข้าใจภาพรวม” ย่อมไม่มีโอกาสเห็นหนทางการแก้ไขที่ถูกต้องและได้ผล ทว่า “ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนไทยด้วยกันแถวนั้น” หาก “ไทยต่างถิ่น” แสดงออกถึงความไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เพื่อให้เป็นไปตามคำเรียกร้อง ย่อมเหมือนกับ “ทอดทิ้งชะตากรรมของไทยด้วยกัน” ช่องว่างระหว่างความเป็น “เพื่อนร่วมชาติ” น่าจะยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีก
•…การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐได้บทสรุปอย่างหนึ่งว่า “การเมืองในโลกของประชาธิปไตยที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยมเสรี” มีแนวโน้มที่ “เป้าหมายเฉพาะหน้า” จะสำคัญกว่า “ความเป็นไปในระยะยาว” สะท้อนจาก “คู่แข่งจากต่างพรรค” พยายามขุดคุ้ยเรื่องราวความไม่ดีของอีกฝ่ายมาเปิดโปงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนจะให้นิยามการเลือกตั้งว่า “เป็นชัยชนะของคนที่เลวน้อยกว่า” ขณะที่ “นโยบาย” นั้นถูกตีค่าว่าเป็นเรื่องที่ “เปลี่ยนแปลงภายหลังได้” เลยไปถึง “ความไม่แน่นอนของความคิดในเชิงอุดมการณ์” การเมืองทุกหัวระแหงดูท่าจะกลายเป็น “เวทีที่น่ารังเกียจ”
ชโลทร