
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
หนังสือกระดาษมีอนาคตหรือไม่? อย่างไร? ฯลฯ ผมไม่น่าจะรู้ เพราะเป็นผู้น้อย รู้น้อย และเวลาเหลือไม่มาก
ถึงจะมีเวลาเหลือก็บอกอะไรไม่ได้ เพราะล้าหลังทางเทคโนโลยี ทำอย่างอื่นไม่เป็น ทำได้แค่หนังสือกระดาษ เท่าที่เคยมีประสบการณ์ชั่วครั้งชั่วคราวจะเล่าพอสังเขป ดังนี้
ทำรายเดือน ด้วยสันดานรายวัน
พฤศจิกายน 2522 ศิลปวัฒนธรรม ฉบับปฐมฤกษ์ วางตลาดทั่วประเทศ เพื่อตอบโต้นักวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีกระแสหลัก ที่บิดเบือนว่าคนไทยเป็นเชื้อชาติบริสุทธิ์มาจากเทือกเขาอัลไต กับสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย และอื่นๆ
งานเผาเทียนเล่นไฟ ในเมืองเก่าสุโขทัย เมื่อพฤศจิกายน 2522 มีเด็กนักเรียนทั้งหญิงชายนับสิบคน เดินเร่ขายศิลปวัฒนธรรม ฉบับปฐมฤกษ์ เล่มละ 10 บาท (ขายได้แบ่งครึ่งให้คนขาย 5 บาท) ผมขนใส่รถตู้ขึ้นไปกระตุ้นตลาดเอง โดยได้รับอนุญาตจาก ผอ. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย สมัยนั้น คือ นิคม มูสิกะคามะ (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร)
ผมใช้ประสบการณ์จากทำหนังสือ ทั้งรายเดือน, รายสัปดาห์, รายวัน จัดการต้นฉบับวิชาการให้ชวนอ่าน และอ่านง่าย โดยปรับหรือตั้งชื่อเรื่องใหม่เจตนากระชากใจ ต้องการโลดโผน คนจะได้อยากอ่าน แล้วรีบตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็ว
มีพรรคพวกถามบ่อยๆ ว่ามีแบบอย่างจากไหน?
ผมจะตอบสวนคำทันทีว่าไม่มีจากไหน กูได้จากสันดานหนังสือพิมพ์รายวัน ที่ต้องพาดหัวข่าวและตั้งชื่อบทความให้กวนโอ๊ย แต่อร่อย
ไม่เคยพูดว่า “จิตวิญญาณกู คือ หนังสือพิมพ์รายวัน” เพราะดูดีเกินไป เกินสกุลรุนชาติกำเนิดของผม จึงมีแต่พูดบ่อยๆ ว่า “สันดานกูมันหนังสือพิมพ์รายวัน” หรือ “กูมันสันดานรายวัน”
ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ
ศิลปวัฒนธรรม เป็นนิตยสารรายเดือน ทำได้ 10 กว่าปี หนี้สินก็มา แม้ไม่มาก แต่ไม่อยากมี
ขรรค์ชัย บุนปาน รู้เข้าคงทุเรศเวทนา เลยรับเข้าเครือมติชน เพื่อสร้างฐานแข็งแรงทางการตลาดและการอื่นๆ
ทำไประยะหนึ่งไม่ดีขึ้น ผมรู้จากรายงานบริษัทว่าศิลปวัฒนธรรมแต่ละเดือนยังขาดทุน ฉบับละราว 2 แสน รู้แล้วเป็นทุกข์ ไม่สนุก ไม่อยากให้งานที่ตัวเองทำต้องตกเป็นภาระของบริษัท จึงคิดหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม
หนทางลดการขาดทุนของศิลปวัฒนธรรมรายเดือน ผมคิดแล้วทำได้อย่างเดียวคือทำหนังสือเพิ่ม เท่ากับผลิตสินค้าตัวอื่นเพื่อเพิ่มตัวขาย และเท่ากับกระตุ้นฉบับปกติรายเดือนไปด้วย ได้แก่ ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ ซึ่งผมทำวางขายมาก่อนนานแล้ว แต่ทำตามใจชอบ โดยไม่จริงจัง
ตั้งแต่ พ.ศ. 2527 ครั้งนั้นยังไม่หมดเชื้อไล่ล่าฆ่าคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519 แผงหนังสือไม่รับวางพ็อกเก็ตบุ๊กทุกชนิด เพราะเชื่อว่าเป็นหนังสือคอมฯ
ผมต้องปรับฉบับพิเศษเป็นขนาด 8 หน้ายก ธรรมดา (เท่าขนาดหนังสือดาราบันเทิงยุคนั้นที่วางตลาดเต็มแผง) เพื่อให้เขารับวางแผงหน้าร้าน แทรกอยู่กับหนังสือดารา
การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นหนังสือขนาด 8 หน้ายก ผมบอกอรุณ วัชระสวัสดิ์ ออกแบบปกให้เป็นป๊อป ต้องมีสีแดง ขาดไม่ได้
“ทำไมต้องมีสีแดง” อรุณถามอย่างงงๆ
“ต้องวางคละกับปกหนังสือดารา ถ้ามึงไม่มีสีแดงก็จมหายไปในแผง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครซื้อ มึงเจ๊ง” ผมบอกอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดแอบแฝง (ตอนนั้นเสื้อแดงยังไม่เกิด)
“อีกอย่างสีแดงทนแดดเลียปก หนังสือต้องอยู่บนแผงนานว่ะ ไม่รู้จะขายกี่ปีถึงหมด”
นับแต่รู้ว่ารายเดือนยังไม่เสมอตัว ผมเลยวางแผนบุกตลาดทำฉบับพิเศษ เพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไปลดการขาดทุนของรายเดือน
จนมีผู้ถามว่าคิดยังไงถึงผลิตฉบับพิเศษออกมาจนเต็มแผง
“ยึดตลาดก่อน กูจะสร้างแบรนด์เนมให้คนอ่านจำโลโก้ สักพักหนึ่งถึงค่อยๆ ลดผลิตจำนวนปกลงเหลือตามปกติ” ผมตอบโพล่งๆ ไม่ได้ขัดเกลาเหลาความคิด จึงดูทื่อๆ ขี้เท่อๆ
พอได้ระยะเวลาเห็นว่าโลโก้ฉบับพิเศษเป็นที่แพร่หลายแล้ว ผมก็ลดจำนวนปกเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังไม่สุดใจที่อยากทำ
ได้ผลหรือไม่ได้อย่างไร? เป็นภาระของคนสงสัย ต้องตรวจสอบเอง
ปัจจุบันสถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก ผมตามไม่ทัน จึงยากจะเข้าใจ แต่ที่แน่ๆ คือต้องช่วยกันซื้อไปอ่าน (ซะดีๆ) เมื่อโลกนี้ยังมีหนังสือกระดาษ ก็ควรเร่งซื้อไปอ่าน ก่อนจะไม่มี
ถ้าคนอ่านไม่ซื้อ คนทำก็ทรุดซี่โว้ย ไม่ต้องสงสัย