ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร |
เผยแพร่ |
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับล่าสุด 11-17 พฤศจิกายน 2559
มีรายงานความคืบหน้าภาพยนตร์ประวัติศาสตร์
พสกนิกรชาวไทย 3 แสนคน ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อรำลึกถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีการบันทึกไว้เมื่อ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา
โดยล่าสุด ท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับและผู้ถ่ายทำ ได้เข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นำภาพยนตร์เพลงสรรเสริญพระบารมี ความยาว 10 นาทีให้นายกรัฐมนตรีรับชม
ปรากฏนายกรัฐมนตรีชอบ พอใจ และไม่มีข้อติติงใดๆ
ขั้นตอนต่อไปจะนำกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ว่าจะทรงมีพระราชวินิจฉัยออกมาอย่างไร
หากไม่มีข้อขัดข้องใดๆ ถึงจะนำออกฉายตามโรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ และบนป้ายโฆษณา ต่อไป
แม้ภาพยนตร์นี้เป็นการริเริ่มของท่านมุ้ย แต่กระนั้นมีขั้นตอนดำเนินการหลายขั้นตอน
มิได้เป็นไปตามอำเภอใจของใคร
สะท้อนความละเอียด ถี่ถ้วน รอบคอบ
มีกาละ และเทศะ
ด้วยเพราะเกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และรวมถึงการเป็นบทเพลงสรรเสริญที่ใช้ถวายความเคารพแด่องค์พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ด้วย
จึงถูกต้องแล้ว ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง มีขั้นตอน
มาถึงตรงนี้แล้ว
อดจะกล่าวถึง สมเถา สุจริตกุล วาทยากรชื่อดัง ไม่ได้
เพราะ “ภาพ” ที่สมเถา สุจริตกุล ยืนควบคุมการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ยิ่งใหญ่สง่างาม
สมกับที่มีการยกย่องว่าเป็นวาทยากรระดับโลกจริงๆ
แต่พอภาพเดียวกันมาปรากฏบนเครื่องบินของสายการบินนกแอร์ ขณะเดินทางไป จ.ยะลา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน
กลับเกิดอาการพิพักพิพ่วนในหลายคน
โดยเฉพาะเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นพอดีกับที่แอร์โฮสเตสได้เข้ามาแจ้งตามกฎการบิน ให้ผู้โดยสารเข้านั่งประจำที่
เนื่องจากนักบินแจ้งว่าได้รับรายงานว่ามีสภาพอากาศแปรปรวน จึงแจ้งเตือนผู้โดยสารให้นั่งอยู่กับที่และคาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อความปลอดภัย
แต่ดูเหมือนว่ากิจกรรมดังกล่าวดำเนินต่อไปจนกระทั่งจบ
ด้วยเหตุผลจากการชี้แจงของนายสมเถาว่า
“การร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีไม่สามารถหยุดกลางคันได้”
พร้อมกับมีคำชี้แจงเพิ่มเติมของนายสมเถาในภายหลังว่า
“การนำร้องเพลงสรรเสริญบนเครื่องบินเป็นการกระทำแบบที่เรียกว่าเป็นไปอย่างธรรมชาติ และไม่ได้มีการบังคับผู้โดยสารให้ร้องบนเครื่องบิน ทั้งนี้ ผู้โดยสารที่ไม่รู้จักกันบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้ร้องที่สนามหลวง จึงนำร้องบนเครื่องบิน ซึ่งการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีไม่สามารถหยุดกลางคันได้ ทั้งนี้ ไม่มีสภาพอากาศแปรปรวนอย่างที่ประกาศแต่อย่างใด”
คงไม่มีใครสงสัยในเจตนาของนายสมเถาว่ามีเจตนาไม่ดี
แต่กระนั้น ภายใต้กาละและเทศะดังกล่าว ก็ชวนให้เกิดคำถามโตๆ ที่คนในสังคมควรช่วยกันคิด
เพราะประเด็นนี้ละเอียดอ่อน สามารถพลิกผันไปทางหนึ่งทางใดได้ หาก “หลักไม่ดี”
ข้ออ้างที่ “การร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีไม่สามารถหยุดกลางคันได้” อาจเป็นโทษอย่างมหันต์สำหรับแอร์โฮสเตสและสายการบิน ทั้งที่เธอและสายการบินกำลังปฏิบัติตามกฎการบิน
เช่นเดียวกัน แอร์โฮสเตสและสายการบินก็อาจถูกกล่าวหา “เถรตรง” เป็นแท่งคอนกรีต มิได้มีข้อยกเว้นให้กับการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่สะท้อนถึงความจงรักภักดี
บาปบริสุทธิ์สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แถมเกิดแก้ยาก
อย่าให้เพลงสรรเสริญพระบารมีที่ “รวมใจ” คนได้แล้ว กลายเป็นประเด็นขัดแย้งอย่างที่เคยเป็นอีกเลย