ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
เผยแพร่ |
ในฐานะของอาชญากรรมปกติ การข่มขืนถือได้ว่าเป็นการล่วงละเมิดและการทำการที่เหยียมหยามเพศที่ถูกคุมคามเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งในปัจจุบันด้วยแล้ว การข่มขืนมิได้จำกัดอยู่ภายใต้คำนิยามของการกระทำของเพศชายต่อเพศหญิงเท่านั้น หากแต่ครอบคลุมการกระทำทั้งต่อต่างเพศหรือเพศเดียวกันก็ได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ การกระทำความรุนแรงทางเพศเช่นนี้มิได้ถือกำหนดเพื่อเป็นการกระทำระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น หากแต่ยังขยายตัวกลายเป็น “อาวุธสงคราม” ที่น่าสะพรึงกลัวอีกด้วย
ในความขัดแย้งทางการเมืองที่พัฒนาปรากฏออกมาด้วยการใช้ความรุนแรง ซึ่งมีมูลเหตุขับเคลื่อนมาจากหลากหลายสาเหตุ อาทิ ชาติพันธุ์ ศาสนา นั้น เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่มีลักษณะของสงครามกลางเมืองแล้ว การต่อสู้มิได้ส่งผลกระทบต่อทหารและกำลังพลทั้งสองฝ่าย หากแต่เป้าหมายอ่อนแอที่อยู่ในฐานะของพลเรือนนั้นมักจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเสมอ ซึ่งการรับรู้ของปุถุชนทั่วไปนั้น มักจะเข้าใจว่าพลเรือนอาจจะได้รับผลกระทบจาก “ลูกหลง” ของกำลังทหารในคู่ขัดแย้งเท่านั้น ซึ่งในสถานการณ์จริงนั้น ความรุนแรงหาได้เป็นไปในลักษณะเช่นนั้นไม่ พลเรือนกลับกลายเป็นเป้าหมายหลักที่กลุ่มของกองกำลังมักโจมตีเป็นเป้าหมายในลำดับต้นๆ ซึ่งมีปัจจัยทั้งในลักษณะของการถูกต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มมวลชนของคู่ขัดแย้งและอาจให้การสนับสนุนฝ่ายตรงกันข้าม
การกระทำต่อพลเรือนในสภาวะสงครามกลางเมืองจึงมีเป็นลำดับชั้นนับตั้งแต่การทุบตี การทรมาน การขโมยทรัพย์สิน การเผาบ้าน การสังหารเป็นรายบุคคล จนกระทั่งพัฒนาขึ้นสูงสุดเป็นการสังหารหมู่ด้วยเช่นกัน
กล่าวได้ว่าในภาษาของสงคราม เรียกการกระทำเช่นนี้ว่า “การโจมตีเป้าหมายที่อ่อนแอ” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ยังมีการกระทำความรุนแรงในอีกลักษณะหนึ่งที่ไม่ได้มีเป้าประสงค์เพื่อสังหารโดยตรงหากแต่ต้องการสร้างแรงผลักดันและผลกระทบทางด้านจิตวิทยาต่อเหยื่อ ญาติมิตร และกลุ่มเชื้อชาติและชาติพันธุ์ของเหยื่อที่สังกัด นั่นคือ “การข่มขืนในสภาวะสงคราม” ซึ่งบุคคลที่เป็นหมายหลักนั่นคือ “เพศหญิง” โดยกลายเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลักและเป็นการยากเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถหลักเลี่ยงสภาวะความรุนแรงเช่นนี้ได้ หากตกอยู่สภาวะสงครามกลางเมืองที่คู่ขัดแย้งมิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ยอมรับ “กฎการปะทะ” หรือ กฎหมายระหว่างประเทศใดๆที่พยายามปกป้องพลเรือน
สิ่งที่น่าสนใจคือ สงครามกลางเมืองที่มีมูลเหตุจากความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์นั้นจะมีลักษณะของการใช้การข่มขืนเป็นอาวุธสงครามที่ชัดเจนมากกว่าสงครามกลางเมืองที่เกิดจากเชื้อปะทุแบบอื่น ซึ่งมิได้เป็นการข่มขืนโดยความต้องการของปัจเจกบุคคลเท่านั้น ทั้งนี้ในกรณีของเมียนมานั้น พัฒนาการการใช้การข่มขืนนั้นมักจะถูกเครือข่ายภาคประชาสังคมตีแผ่ออกมาเป็นระยะๆ
ในแง่ของการศึกษาสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ ปรากฏการณ์ในลักษณะเช่นนี้คือตัวอย่างหนึ่งของการทำ “สงครามจิตวิทยา” ที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน หากแต่เน้นหนักการใช้มาตรการทุกรูปแบบเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์นั่นคือ การได้รับชนะในสงครามเท่านั้น
การออกแบบหรือรูปแบบการข่มขืนนั้นมิได้สร้างขึ้นผ่านการออกคำสั่งอย่างเป็นทางการ หากแต่เป็นการสั่งการที่ไม่เป็นทางการจนพัฒนาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อเหยื่อ คำถามที่สำคัญนั่นคือ “ผลกระทบต่อจิตวิทยาด้านใดที่ฝ่ายผู้กระทำต้องการ?”
คำตอบที่สำคัญนั่นคือ การข่มขืนในความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์นั้นเป็นการสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์สามระดับ
ในระดับต้น การข่มขืนเพื่อสร้างความน่าสะพรึงกลัวต่อเหยื่อโดยตรง ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้เน้นเป้าหมายการสลายมวลชนของคู่ขัดแย้งทั้งในลักษณะการสนับสนุนด้านกองกำลังหรือยุทธภัณฑ์อื่นๆ โดยปัจจัยสำคัญมักเกิดจากแรงผลักดันของกำลังพลเอง
ในระดับกลาง การข่มขืนเพื่อสร้างความน่าสะพรึงกลัวเพื่อควบคุมสาธารณะ การกระทำในลักษณะเช่นนี้พัฒนามาจากขั้นแรก แต่เน้นการสร้างภาพลักษณ์ผู้ปกครองและการใช้อำนาจของผู้กระทำเพื่อควบคุมพลเรือนอีกชั้นหนึ่ง หรืออาจเรียกได้ว่า “การสร้างการข่มขืนเพื่อการปกครองอย่างเป็นระบบ”
ในระดับสูง การข่มขืนเพื่อดำรงสถานะความเหนือกว่าทางด้านชาติพันธุ์ ซึ่งการข่มขืนในลักษณะเช่นนี้จะกระทำต่อสตรีต่างชาติพันธุ์เพื่อตอกย้ำความเหนือกว่าและความต่ำต้อยของสตรีตางชาติพันธุ์ โดยการกระทำสามารถพัฒนาให้กลายเป็นการข่มขืนเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์และเพื่อให้บุตรที่เกิดขึ้นมิได้เป็น “ชาติพันธุ์แท้” ฉะนั้น ร่างกายสตรีจึงเป็นสถานที่ผ่องถ่ายความเกลียดชังไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อกลับมาย้อนมองพินิจความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ในเมียนมาแล้ว การข่มขืนในสภาวะสงครามนั้นมีรายงานและปรากฏผ่านสื่ออกมาเป็นระยะตามที่ได้กล่าวแล้วในข้างต้น หรือแม้กระทั่งปะทะที่เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมในอาระกันในปัจจุบันเองก็ตาม
ทั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ ความสัมพันธ์ระหว่างทหารพม่ากับการข่มขืนมักจะเกี่ยวพันธ์กับยุทธศาสตร์ทางด้านทหารในส่วนที่สำคัญคือ “การเข้าควบคุมพื้นที่” ซึ่งการข่มขืนจึงมาพร้อมกับเพื่อบังคับอพยพโยกย้ายออกจากพื้นที่ที่เป็นทั้งลักษณะทั้งพื้นที่ยึดครองของฝั่งตรงกันข้ามและพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางทหาร
พัฒนาการที่น่าสนใจของการข่มขืนเพื่อบังคับอพยพนั้นนั่นคือ ในอดีตการข่มขืนมักมาพร้อมกับการตัดการสนับสนุนฐานมวลชนของกลุ่มกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ในวงกว้างทั้งในกรณีของไทใหญ่และกระเหรี่ยงเองก็ตาม และปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในปัจจุบันซึ่งเกิดขึ้นกับกรณีของโรฮิงยาหรือกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมในอาระกันนั่นคือ การข่มขืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงที่มีเป้าประสงค์เพื่อเนรเทศชาติพันธุ์ที่ไม่ต้องการออกนอกประเทศ
การกล่าวเช่นนี้จึงมีนัยสำคัญที่สามารถระบุได้ว่า ชาติพันธุ์ที่รัฐปฏิเสธให้สิทธิทางกฎหมายนั้น การเนรเทศออกรัฐจึงเป็นอีกวิธีการอีกอันหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องและเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์และร่างกายของสตรีอย่างซับซ้อน
ในยุคที่สตรีทรงอำนาจทางการเมืองในเมียนมา การข่มขืนในสภาวะสงครามจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าหดหู่เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ามีหลากหลายปัจจัยควบคุมและมีผลต่อการตัดสินใจของผู้นำ หากแต่การอยู่และเลือกจุดยืนที่ปิดเสียงเงียบกำลังกลับกลายเป็นอาวุธสงครามอีกชั้นหนึ่ง กล่าวได้ว่า ความเงียบคืออุปสรรคในการแสวงหาแนวทางสันติภาพไปโดยปริยายและความร้ายแรงจึงไม่ได้ต่างไปจากการข่มขืนจากทหารในสนามรบแม้แต่น้อย