ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
หลายวันก่อนได้อ่านบทความชื่อ “ประชาธิปไตยไทยในทศวรรษ 21 ทางตัน ทางออก และแนวทางแก้ไข” ของ อาจารย์ลิขิต ธีรเวคิน
อาจารย์เขียนลงในหนังสือชื่อ “ประชาธิปไตยไทยในทศวรรษใหม่” เคพีไอ เยียร์บุ๊กของสถาบันพระปกเกล้า
แม้บัดนี้ อาจารย์ลิขิตเสียชีวิตแล้ว แต่บทความชิ้นนี้ยังมีคุณูปการอยู่
บทความดังกล่าวว่าด้วยเรื่องประชาธิปไตยไทย
อ่านแล้วได้เห็นมุมที่ฝรั่งมองเห็น และมองไม่เห็น
ฝรั่งมองเห็น 3 ตัวแปรที่มีผลต่อพัฒนาการประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา คือ..
1.สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เอื้อต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
2.โครงสร้างและกระบวนการมีส่วนสร้างประชาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญ การปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หลักการทางการเมืองและการบริหาร
3.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
ฝรั่งมองว่า สังคมใดขาดตัวแปรดังกล่าวการพัฒนาประชาธิปไตยย่อมไม่สามารถทำได้
ส่วนตัวแปรที่ฝรั่งมองไม่เห็น คือ 1.ไทยมีระบบการเมืองที่มีประชาธิปไตยที่ “ไร้เสถียรภาพ”
2.ไทยมีระบบอุปถัมภ์ที่เล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งขัดแย้งกับระบบการบริหารภาครัฐแบบใหม่
3.ไทยนำเอาประชาธิปไตยแบบอเมริกาเข้ามา ทั้งๆ ที่อเมริกาเป็นสังคมอุตสาหกรรม คนตื่นตัวทางการเมือง
ส่วนไทยเป็นสังคมเกษตร ความตื่นตัวทางการเมืองน้อยกว่าคนอเมริกัน
สรุปได้ว่า อุปสรรคสำคัญประชาธิปไตยไทย คือองค์กรจารีตนิยม และกลุ่มบุคคลที่มีคุณสมบัติเหนือบุคคลทั่วไป
รวยกว่า สถานะทางสังคมสูงกว่า มีอำนาจทางการเมือง เป็นต้น
อุปสรรคเหล่านี้ส่งผลต่อประชาธิปไตย
อาจารย์ลิขิตชี้ให้เห็นแนวทางแก้ปัญหาว่ามี 3 วิธี คือ 1.ปล่อยไปตามธรรมชาติ
2.ปฏิรูป วิธีนี้จะมีผู้มีส่วนได้มีส่วนเสีย ดังนั้น ความสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับ “การออมชอม”
พบกันครึ่งทาง !
แต่ละฝ่ายต้องยอมเสียสละ แต่ละฝ่ายต้องมีข้อจำกัดในการเรียกร้อง
3.ปฏิวัติ วิธีนี้จะทำให้เกิดบาดแผลทางการเมืองที่ยากจะเยียวยา
อ่านบทความแล้ว ดูเหมือนว่าทางออกที่ดี คือการปฏิรูป
เพียงแต่ไทยที่ผ่านมา ยังไม่มีวี่แววการปฏิรูป สังคมไทยยังอยู่ในบรรยากาศอึมครึม
การจะทำให้บรรยากาศหายอึมครึม คือการกลับสู่ประชาธิปไตย
และพัฒนาประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง-ยั่งยืน
สำหรับประเทศไทยอีกไม่นานจะมีรัฐธรรมนูญ และหลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้
การเลือกตั้ง และการปฏิรูปจะเดินหน้า
แต่จะสำเร็จหรือล้มเหลว จะยั่งยืนหรือไม่ ยังต้องลุ้น
ในตอนท้ายของบทความอาจารย์ลิขิต นำเสนอรูป 4 เหลี่ยมจัตุรัส
4 เหลี่ยมแห่งดุลยภาพระหว่าง “คน” กับ “รัฐ”
4 เหลี่ยมนี้ได้ขีดเส้นทแยงมุมแบ่งเนื้อที่ออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนบนเป็นพื้นที่ของสิทธิเสรีภาพประชาชน ส่วนล่างเป็นพื้นที่อำนาจรัฐบาลเลือกตั้ง
ส่วนเส้นทแยงมุมเรียกว่า “เส้นประชาธิปไตย”
ถ้าสิทธิประชาชนกับอำนาจรัฐสมดุลกัน เส้นประชาธิปไตยก็ยาวสุด
แต่ถ้าประชาชนใช้สิทธิมากไป หรืออำนาจรัฐมีมากเกิน เส้นประชาธิปไตยก็สั้นลง
ดังนั้น ถ้าอยากให้ประชาธิปไตยต่อเนื่องและยั่งยืน
อยากให้อายุขัยประชาธิปไตยยาวที่สุด
ต้องช่วยกันรักษาดุลยภาพของสิทธิและอำนาจระหว่าง “คน” กับ “รัฐ”
ต้องมีความสมดุล