คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ประเทศที่ท่านกำลังอยู่อาศัย มี ‘ความยากระดับSS’

คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง –  ประเทศที่ท่านกำลังอยู่อาศัย มี ‘ความยากระดับSS’

ถ้าเราอยากรู้ว่าในการปกครองและบริหารประเทศของรัฐบาลแต่ละรัฐบาลได้สร้างปัญหาอะไรไว้ อาจจะสังเกตได้จากนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ตามมาในการเลือกตั้งครั้งที่เกิดขึ้นจากการบริหารประเทศของรัฐบาลนั้นๆ 

ทั้งนี้ ก็เพราะการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลก่อนหน้าเป็นความผูกพันของรัฐบาลชุดต่อไป เช่น ถ้ารัฐบาลก่อนหน้านี้มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ก็จะเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจน หรืออาจจะเป็นเรื่องยาเสพติดก็เช่นกัน

แล้วรัฐบาลของประยุทธ์ จันทร์โอชานับตั้งแต่ได้อำนาจมาโดยการรัฐประหาร และที่สืบทอดอำนาจต่อมานั้นได้ก่อปัญหาอะไรไว้บ้าง

ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการบริหารและปกครองประเทศในสมัยแรกที่เป็นอำนาจจากการรัฐประหาร นอกจากปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำที่อาจจะเรียกว่าเป็นปัญหารูปแบบเก่าแล้ว ยังมีเรื่องใหม่ที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ คือปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ที่ในภายหลังได้เป็นปัญหาประจำระดับฤดูกาลไปแล้ว 

Advertisement

ผ่านมาเป็นเวลากว่าสี่ปีปัญหานี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไข กลับยังทวีความรุนแรงเข้าไปอีก ฝุ่นควันที่เชื่อกันว่าเกิดจากการสนับสนุนการทำเกษตรกรรมอย่างไร้ความรับผิดชอบที่มีกลุ่มทุนใหญ่ที่เป็นพันธมิตรของอำนาจรัฐหนุนหลัง

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันที่ปกคลุมไปเกือบทั่วประเทศจนมืดไปทั่วทั้งท้องฟ้าตลอดช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้คุณภาพอากาศของประเทศไทยเลวร้ายระดับต้นๆ ของโลก เป็นภาพที่ใครได้มองเห็นจากที่สูงแล้วก็ต้องนึกถึงภาพยนตร์แนววันสิ้นโลก หรือดินแดนอันล่มสลาย

ส่วนปัญหาคุกคามประเทศเรื่องใหม่ที่กลายเป็นนโยบายของพรรคการเมืองที่จะเข้ามาแก้ไข สังเกตได้ตามป้ายหาเสียงที่เริ่มปูพรมกันมาแล้ว คือปัญหาของธุรกิจสีเทาและทุนสีเทาที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาสังคมเรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากการบริหารประเทศของรัฐบาลนี้ เป็นปัญหาที่ไม่เคยปรากฏในการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้

Advertisement

แม้ว่าธุรกิจสีเทาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการพนัน ยาเสพติด หรือแชร์ลูกโซ่หลอกลวง จะเป็นเรื่องที่เคยมีอยู่ในสังคมไทยมาแล้วก่อนหน้า แต่ในขณะนี้เป็นยุคสมัยที่ธุรกิจสีเทาลอยขึ้นมาเหนือพื้นดินให้เห็นกันได้ชัดเจนที่สุด ซ้ำร้ายยังได้รับการสนับสนุนจากทุนสีเทาจากภายนอกประเทศ เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้วหลายครั้งในคอลัมน์นี้ อย่างที่ถ้าให้เขียนซ้ำอีกก็เป็นเรื่องน่าเบื่อไป 

ปฏิเสธได้ยากว่าการเติบโตและปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนของธุรกิจสีเทาและทุนสีเทานี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคแห่งการบริหารประเทศของรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมกับเหล่านักการเมืองกลุ่มที่สนับสนุน ภายใต้ความได้เปรียบของกติกาและกลไกทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2560 

เช่นเดียวกับความเฟื่องฟูของบรรดามิจฉาชีพทุกรูปแบบที่เราได้เห็นข่าวเตือนภัยกันรายวัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์เมื่อก่อนนี้ก็ว่าแย่แล้ว แต่เมื่อมีคนรู้ทันมากขึ้น ตอนนี้ก็ยกระดับขึ้นมาอีกหลายวิธี เช่น การใช้ SMS หลอกลวงให้ติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพื่อบังคับควบคุมโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเพื่อดูดดึงเงินในระบบธนาคารออนไลน์ออกไป หรือการหลอกเอาทรัพย์สินโดยการใช้ลวงให้รักด้วยการสร้างตัวตนปลอมเข้าไปหลอกล่อให้โอนเงินให้ด้วยความเสน่หา หรือลงทุน การหลอกให้ซื้อของไม่มีคุณภาพด้วยวิธีการต่างๆ 

ภัยมิจฉาชีพที่ถ้าใครโชคร้ายพลาดระวังตัวไม่ทัน หรือไม่เฉลียวใจก็อาจจะถึงกับหมดเนื้อหมดตัว สูญสิ้นเงินออมทั้งชีวิตไปได้เพียงการกดรับข้อความบนสมาร์ทโฟนเพียงครั้งเดียว จนผู้คนหวาดระแวงแม้แต่สายชาร์จโทรศัพท์ โดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็แทบจะป้องกัน หรือปราบปรามอะไรไม่ได้สักเท่าไร เพียงแค่เตือนภัยให้ประชาชนระวังไว้ก็เท่านั้น

ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวแบบแทบไม่มีเว้นของการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐที่มากันรัวๆ ตั้งแต่ต้นปี เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงความล่มสลายของระบอบนิติรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย 

เรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดเอาทรัพย์จากนักท่องเที่ยวไต้หวันอาจถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายและน่าอับอาย แต่ความน่ากลัวไม่ได้เกิดจากการที่ตำรวจนอกแถวไปรีดไถเอาทรัพย์จากนักท่องเที่ยวโดยใช้สถานะเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายอ้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อข่มขู่เท่านั้น หากความน่ากลัวอันแท้จริงของเรื่องนี้คือการที่เห็นได้ว่ามีความพยายามจากองค์กร หรือผู้มีอำนาจบังคับบัญชาที่พยายามจะปกปิด บิดเบือนการกระทำดังกล่าวจนถึงที่สุด ทั้งการแถลงอย่างเป็นทางการว่าไม่มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น พยายามหาพยานมาปักปรำฝ่ายนักท่องเที่ยว ไปจนถึงขนาดใช้ปฏิบัติการข่าวสารเชิงจิตวิทยา (IO) ในโซเชียลเพื่อกล่าวหาฝ่ายผู้เสียหายจนสังคมเกือบเชื่อตามไปแล้ว ถ้า คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จะไม่ยื่นคำขาดว่ามีหลักฐานเอาผิดได้ จนตัวผู้ก่อเรื่องต้องสารภาพด้วยจนเพราะหลักฐาน 

การที่จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือตำรวจใช้อำนาจนอกลู่นอกทางนั้นยังพอรับฟังได้ว่าเป็นปัญหาเฉพาะเรื่อง เฉพาะตัว หรืออย่างมากก็เป็นความบกพร่อง หรือหละหลวมของระบบที่ปล่อยให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น แต่การที่ระบบเองออกมาปกป้องการกระทำความผิดนั้นแสดงให้เห็นถึงการสมรู้ร่วมคิดหรือพยายามปกปิด บิดเบือนให้ถึงที่สุด ซึ่งก็ไม่ต่างกับว่าการกระทำอันเลวร้ายนั้นเป็นเรื่องที่องค์กรมีส่วนร่วมรู้เห็น

แถมซ้ำร้าย องค์กรที่ว่านั้นก็เป็นต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั้งปวงด้วย นี่คือเรื่องที่เลวร้ายทบขึ้นไปอีกไม่รู้กี่ชั้น และเราก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มีกรณีในลักษณะเดียวกันที่ถูกองค์กรบิดเบือนจากฝ่ายที่เป็นเหยื่อ หรือเป็นผู้เสียหายกลายเป็นฝ่ายผิดไปเสียเองอยู่บ้างหรือไม่ และกระบวนการยุติธรรมที่เริ่มต้นไปจากองค์กรดังกล่าวจะเชื่อถือได้แค่ไหน

กระนั้นก็ไม่ใช่เฉพาะองค์กรดังกล่าวเท่านั้น เพราะถ้าใครติดตามข่าวเกี่ยวกับการตรวจพบการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ (ซึ่งเอาจริงๆ ก็เพิ่งจะเดือนกับอีกนิดหน่อยเท่านั้น) ก็จะเห็นว่ามันเพิ่มมากขึ้น และไม่ซ้ำหน่วยงานอย่างน่าตกใจ ราวกับได้รับฉันทานุมัติบางอย่างให้แบ่งกันไปหากินกับอำนาจในขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละคนได้ ขอเพียงแค่ส่งบรรณาการกลับมา หรือค้ำจุนบัลลังก์ให้ก็เท่านั้น บางเรื่องที่เป็นข่าวโหดร้ายถึงขนาดใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข่มขู่รีดทรัพย์จากผู้ใต้บังคับบัญชา โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าไม่จ่ายเงินให้แล้วละก็จะถูกโยกย้ายไปให้พบกับความยุ่งยากลำบากต่อชีวิต

สภาพของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจในตอนนี้จึงแทบไม่แตกต่างจากระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ (feudalism) ของฝรั่งสักเท่าไร ที่ขุนนางระดับสูงมอบอำนาจให้ขุนนางและเจ้าหน้าที่ระดับล่างๆ ลงไป ใช้อำนาจในการแสวงหาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่ หรือเขตอำนาจของตน เพื่อแลกกับการสนับสนุน หรือส่งส่วยกลับขึ้นมาให้เป็นทอดๆ 

ส่วนภาคการเมืองที่มีหน้าที่กำกับดูแลเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายก็ไม่ต้องพูดถึง ในตอนนี้แทบไม่มีใครสนใจหน้าที่ในปัจจุบัน ส..ไม่มาประชุมสภาตามหน้าที่ สภาล่มจนขี้เกียจจะเป็นข่าว รัฐมนตรีก็ไม่เข้ามาตอบกระทู้เพราะทุกฝ่ายห่วงให้ความสำคัญแต่เรื่องของการชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้ง สนใจแต่การไปลงพื้นที่ หรือดูดชิงตัวนักการเมืองและฐานการเมือง จนถึงกับลาการประชุม ครม.ไปลงพื้นที่ก็ทำได้ไม่ต้องอายใคร

บรรยากาศมืดมนทั้งจากหมอกควันจริงๆ คือฝุ่น PM2.5 และหมอกมัวจากข่าวสารอันชวนสิ้นหวังที่กล่าวมา บางครั้งก็นึกขึ้นมาว่าพวกเรากำลังอยู่ในประเทศแบบไหนกันนะ

พาให้นึกไปถึงเรื่องราวในนิยายไลต์โนเวลเรื่องหนึ่งที่เพิ่งอ่านไป เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าทวยเทพผู้มีหน้าที่ปกป้องโลกต่างๆ ในพหุภพ ที่จะคอยอัญเชิญผู้มีพลังความสามารถจากโลกอื่นๆ เข้ามาเพื่อเป็นผู้กล้าที่จะแก้วิกกฤตการณ์ที่จอมมาร หรือปีศาจจะเข้ามารุกรานโลกเหล่านั้น โดยแบ่งตามความยากง่าย ตามความร้ายกาจของจอมมาร หรือปีศาจ โดยโลกวิกฤตที่มีความยากสูงสุด คือระดับ SS นั้นจะเป็นโลกที่อาจกล่าวได้ว่าแทบสิ้นหวังจะกอบกู้

เพราะที่จริงแล้วโลกในระดับ SS ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นโลกที่มีวิกฤตในระดับความยากต่ำกว่านั้นมาก่อน และทวยเทพได้เคยอัญเชิญผู้กล้าจากโลกอื่นมากอบกู้โลกนั้นแล้ว เพียงแต่ผู้กล้าที่อัญเชิญมาพ่ายแพ้ต่อจอมมารและกองทัพปีศาจ โลกนั้นจึงกลายเป็นโลกที่ถูกจอมมารทำลาย และพวกปีศาจก็ได้ยึดครองสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ในโลกเช่นนั้นมนุษย์ถูกพวกปีศาจจับเป็นทาส ใช้เป็นของเล่น หรือกินเป็นอาหาร ไม่มีพื้นที่ใดเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์อีกต่อไป เมืองที่ปลอดภัยที่สุดคือเมืองที่เลี้ยงมนุษย์ไว้เป็นทาส และมีกฎกติกาห้ามจับมนุษย์มาทำร้าย หรือฆ่ากินโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

จะว่าไปแล้ว สังคมและการเมืองประเทศไทยในทุกวันนี้ใกล้เคียงกับนิยายเรื่องนั้นเข้าไปทุกที เสรีชนฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้จอมมาร และกองทัพปีศาจมาครั้งแล้วครั้งเล่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี พ..2557 และปราชัยต่อเนื่องอีกครั้งเมื่อรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 พร้อมคำถามพ่วงซ่อนพิษ ผ่านประชามติขึ้นมาใช้บังคับได้ ส่งผลให้มีการสืบทอดอำนาจต่อมาจนนำพาประเทศของเรามาถึงจุดนี้

เราจึงอยู่ในโลกที่มีความยากระดับ SS เช่นนี้ ที่สักวันอาจจะล้มป่วยเพราะหายใจเอาฝุ่นควันก่อมะเร็งเข้าไป เงินเก็บเงินออมทั้งชีวิตอาจจะสูญไปหมดเพราะการเผลอกดรับ SMS เพียงครั้งเดียว หรือวันร้ายคืนร้ายอาจถูกตั้งข้อหาบ้าบอบิดเบือนกฎหมายเพื่อรีดเงิน 

เหมือนกับเราอยู่ในโลกแห่งรัฐที่ปกครองโดยจอมมารและเหล่าปีศาจอันกัดกินอนาคตของผู้คน เยาวชน ลูกหลาน และประเทศชาติ 

ระบอบปีศาจที่เราเหลือหนทางชนะเพียงเล็กน้อยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ถ้ารอบนี้แพ้อีกก็ไม่รู้ว่าจะมีความเลวร้ายเสื่อมโทรมอะไรโผล่มาอีก เหมือนที่ก่อนเลือกตั้งในปี พ..2562 เราก็ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เห็นความเฟื่องฟูของธุรกิจสีเทา มิจฉาชีพรูปแบบใหม่ๆ และการหาประโยชน์อย่างไม่อายฟ้าอายดินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ช่วยเหลือกันในระดับองค์กรขนาดนี้ 

จนเราเหลือเพียงประเทศที่เข้าสู่สภาวะชวนสิ้นหวังระดับที่ถึงแม้ว่าฝ่ายการเมืองตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบัน และเครือข่ายเบื้องหลังอาจประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ในที่สุด หรือแม้แต่ต่อให้สามารถล้างอำนาจของฝ่ายการเมืองที่สืบทอดอำนาจมาตั้งแต่สมัยรัฐประหารได้สิ้นเชิงก็ตาม แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และปัญหาการทุจริตและความเสื่อมถอยของสังคมและผู้คนที่เหลือให้พวกเขาจะต้องรับมือต่อไปนั้น 

ไม่ต่างจากการกอบกู้ประเทศที่ล่มสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง เป็นโลก หรือประเทศที่ยากระดับ SS ที่เราอาจจะไม่ต้องพูดกันแล้วเรื่องการพัฒนา เอาแค่แก้ไขฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดินแดนของสุจริตชนและมีนิติรัฐ ก็อาจจะต้องใช้เวลาทั้งวาระของรัฐบาลชุดต่อไปแล้ว

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image