คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ‘เฟมทวิต’กับ‘นางแบก(และนายแบก)’ การต่อสู้ระหว่างคนสองฟากในฝั่งเดียวกัน

มีกรณีพิพาทขึ้นในวงการดังกล่าวที่มีชนวนมาจากวิดีโอเกมฮอกวอตส์ เลกาซี” (Hogwarts Legacy) เกมที่สร้างมาจากพื้นฐานของโลกแห่งเวทมนตร์จากนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง (J. K. Rowling) นักเขียนสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่ร่ำรวยติดอันดับโลกจากค่าตอบแทนทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ปัญหาที่ทำให้เกมนี้กลายเป็นดราม่า ไม่ใช่เนื้อหาหรือเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเกมเสียเท่าไร แต่เป็นเพราะตัว เจ.เค. โรว์ลิ่ง ที่มาจากทัศนคติว่าด้วยเรื่องความหลากหลายทางเพศของเธอนั่นเอง เล่าโดยสรุปได้ว่าเรื่องเริ่มต้นขึ้นจากการที่เธอโพสต์ทวีตให้กำลังใจ มายา ฟอร์สเตเตอร์ (Maya Forstater) นักวิจัยที่องค์กรซึ่งเธอสังกัดอยู่นั้นไม่ต่อสัญญาจ้างให้ เพราะแรงกดดันจากทวีตความเห็นส่วนตัวของเธอที่มีทำนองไปในทางไม่เชื่อในเรื่องการข้ามเพศ” (Trans Gender) ซ้ำยังปั่นประเด็นซ้ำอีกครั้ง เมื่อเสียดสีสื่อหัวหนึ่ง ที่พาดหัวบทความด้วยการใช้เลี่ยงแทนผู้หญิงว่าผู้สามารถมีประจำเดือนซึ่ง เจ.เค.ได้ออกมาทวีตว่าผู้คนที่สามารถมีประจำเดือนอย่างนั้นรึเอ ฉันว่า มันเคยมีคำเรียกคนกลุ่มนี้มาก่อนนี่นะ ใครช่วยคิดหน่อยพูยิง?” “พิ่งหญู?” “พิหญูง?” (ต้นฉบับใช้ Wumben? Wimpund? Woomud?)

ผลของการนี้ส่งผลสะเทือนให้ เจ.เค. โรว์ลิ่ง กลายเป็นเหมือนศัตรูของกลุ่มที่ต่อสู้เรียกร้องความหลากหลายทางเพศทางสังคมออนไลน์ ที่มีคำเรียกลำลองเหมารวมว่าเฟมทวิต” (Femtwit) ที่เกิดจากการผสมคำระหว่างเฟมินิสต์ (feminist)” กับ ทวิตเตอร์ (twitter)” โดยคนกลุ่มนี้ก็เรียกร้องให้ผู้คนคว่ำบาตรสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลงานของเธอ ไม่ว่าจะที่มีอยู่เดิมหรือที่จะทำใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมถึงเกมฮอกวอตต์ เลกาซีนี้ด้วย 

กลุ่มเฟมทวิตจึงเปิดการโจมตีด้วยการแห่กันไปก่นด่าประณามใครก็ตามที่เล่นเกมนี้ถ่ายทอดออนไลน์ไม่ว่าจะช่องทางไหนหรือแพลตฟอร์มใดก็ตาม เป็นการร่วมแรงร่วมใจระดับโลก เช่นเดียวกับที่กลุ่มเฟมทวิตสาขาประเทศไทยก็ไปรุมโจมตีนักเล่นเกมถ่ายทอดสดชาวไทยชื่อดังแทบทุกช่องที่บังอาจเล่นเกมนี้โชว์ จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวเพราะนักถ่ายทอดสดบางคนที่มีทุนทรัพย์และความขี้หมั่นไส้ระดับที่เพียงพอ ประกาศว่าจะใช้สิทธิทางศาลเพื่อดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา (รวมถึงกฎหมายเยาวชนต่อผู้ปกครอง) ของบรรดาเฟมทวิตนี้ จนกลายเป็นดราม่ากันพอประมาณในแวดวงชาวออนไลน์ไทย

Advertisement

การกระทำของเฟมทวิตนี้ ทั้งเรื่องนี้และวีรกรรมก่อนๆ มานั้น เอาตามตรงเป็นวิญญูชนส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้สักเท่าไร รวมถึงแม้กับกลุ่มคนที่ตื่นรู้และเข้าใจถึงประเด็นเรื่องการเลือกปฏิบัติและการกดทับทางเพศอยู่แล้ว เพราะเห็นตรงกันว่า ลำพังการใช้เสรีภาพในการคว่ำบาตรไม่สนับสนุนผลงานของ เจ.เค.ก็ทำไปเถิด แต่การที่ไปอาละวาดระรานคนที่เขาไม่ได้รู้เรื่องหรือรู้สึกแย่อะไรไปกับท่าทีของ เจ.เค. รวมจนคนที่ไม่มีอะไรเลยลองเล่นแค่เพราะเกมมันน่าสนุกดี นั้นเป็นการใช้เสรีภาพเกินขอบเขต และเป็นการกระทำที่รุกรานต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกของผู้อื่น และก่อให้เกิดการเซ็นเซอร์ที่ไม่ได้มาจากอำนาจรัฐ อันไม่ใช่เรื่องที่เป็นคุณเท่าไรต่อสังคมประชาธิปไตย

ปัญหาใหญ่ของกลุ่มเฟมทวิตตั้งแต่ไหนแต่ไรมา คือท่าทีที่รุนแรงสุดโต่งต่อประเด็นความเสมอภาคและความหลากหลายทางเพศ อย่างที่คนที่ยอมรับในเรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็ยังขยาดแขยง เพราะแม้ว่าคุณจะเห็นด้วยกับประเด็นเรื่องความเท่าเทียมและความเสมอภาคทางเพศก็เถิด แต่ถ้าความเห็นของคุณมีจุดไหนส่วนไหนที่ยังไม่ตรง ไปแย้งขัดกับฝ่ายเฟมทวิต ก็อาจจะถูกมองเป็นศัตรูของพวกเธอไม่ต่างจากการเป็นพวกเหยียดเพศชายเป็นใหญ่ระดับเป็นพิษ (Toxic masculinity) และตามด้วยการรุมด่าทัวร์ลงแบบไม่เหลือชิ้นดีเอาได้เช่นกัน

มิตรสหายท่านหนึ่งพยายามอธิบายว่า ทำไม เฟมทวิตต้องแรงใส่แม้แต่คนที่เป็นฝ่ายเดียวกันที่ก็รู้ว่าทรรศนะของเขาไม่ได้เป็นพิษอะไรขนาดนั้น ว่าอาจจะเป็นเพราะเมื่อคนสองกลุ่มซึ่งมีความคิดไปในแนวทางเดียวกันแต่อาจจะเหลื่อมมุมกันบ้าง หากก็ถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนที่เลวร้ายยิ่งกว่า ในที่นี้คือพวกเหยียดเพศและคลั่งชายเป็นใหญ่ แต่สุดท้าย คนสองกลุ่มนี้ก็ยังมาขับเคี่ยวกันเองแบบแรงๆ จนกลายเป็นศัตรูที่อยู่ฝั่งเดียวกัน อาจจะเพราะว่าคนกลุ่มเฟมทวิตนั้นรู้สึกว่า มิตรสหายเหล่านั้นรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝั่งนั้นมีพวกน่ารังเกียจอยู่ แต่ทำไมเอ็งอยู่ฝั่งเดียวกันกับข้าแท้ๆ ถึงยังมีส่วนที่น่ารังเกียจได้ แม้สัดส่วนนั้นจะไม่เท่าพวกข้างนอกก็ตาม

Advertisement

มิตรสหายท่านนั้นยังกล่าวต่อไปว่า เอาเข้าจริงมันคล้ายๆ กับวิวาทะระหว่างฝ่ายนางแบก (และนายแบก)” กับฝ่ายประชาธิปไตย (กว่า)” อยู่เหมือนกัน เมื่อมิตรสหายท่านนั้นกระตุกประเด็นนี้ขึ้นมา และเราสนทนาแลกเปลี่ยนกันต่อ ก็พบว่าเรื่องมันทับซ้อนกันได้อย่างน่าสนใจ

นางแบก (และนายแบก)” นิยามแบบไม่ระบุตัวบุคคล ก็คือกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงในฝั่งประชาธิปไตย ที่เชื่อมั่นและพร้อมจะแก้ต่างให้แก่ความเคลื่อนไหวหรือกลยุทธ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในทุกเรื่อง” “อย่างเข้มแข็งจนหลายครั้งการปกป้องนั้นกลายเป็นความก้าวร้าวในระดับเดียวกับที่ใช้กับพวกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง คือสลิ่มที่ยังสนับสนุนฝ่ายเผด็จการด้วย

ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็คือฝ่ายประชาธิปไตยที่เกลียดชังระบอบรัฐประหารและกลไกเบื้องหลังเช่นกัน แต่ก็อาจจะวิจารณ์ท่าทีบางอย่างของพรรคเพื่อไทยที่พวกเขามองว่าท่าทีหรือกลยุทธ์นั้นไม่เป็นประชาธิปไตยพอเช่นการยอมรับนักการเมืองที่เคยไปอยู่พรรคพลังประชารัฐกลับมา ท่าทีที่ดูสงวนท่าทีกับพรรคพลังประชารัฐยุคลุงป้อมที่ไม่มีประยุทธ์แล้ว รวมถึงการละประเด็นการต่อสู้บางประเด็นและแสดงออกว่าปัญหาปากท้องสำคัญกว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือเสรีภาพในบางเรื่อง

กลุ่มนางแบก (และนายแบก)” จะตามไล่จิกด่าทุกฝ่ายที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย (กว่า) แล้วยกประเด็นข้างต้นขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรง จนหลุดไปถึงเรื่องที่หลายคนรู้สึกว่ามันออกจะเกินไป คือการออกมาแสดงท่าทีไม่ให้ราคาการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในกระบวนยุติธรรมของแบมและตะวัน เพียงเพราะประเด็นที่คนทั้งสองต่อสู้นั้นเป็นเรื่องที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยละเอาไว้ บางครั้งท่าทีของนางแบก (และนายแบก)” ในเชิงเย้ยหยันทำให้เสียความรู้สึก จนหลายคนถึงกับแอบถามกัน (เพราะกลัวเจ้าตัวได้ยินแล้วจะโดนด่า) ว่าแล้วพี่เขาจะแรงกับเรื่องนี้ไปเพื่อ…”

เมื่อเชื่อมโยงเรื่องของเฟมทวิตกับนางแบก (และนายแบก)” เข้าด้วยกันแล้ว ก็พบจุดร่วมบางเรื่อง และจุดต่างบางอย่าง

ถ้าเฟมทวิตเชื่อว่า จะประนีประนอมยอมให้มีความคิดต่างเห็นต่างในเรื่องความหลากหลายทางเพศที่อาจจะเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งที่พวกเธอยึดถือไม่ได้ เพราะต้องในโลกขณะนี้ วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ยังครองอำนาจอยู่ในทุกวัฒนธรรมและมีอำนาจทั้งอย่างแข็งและอย่างอ่อนสนับสนุน ทั้งยังมีคนอีกส่วนมากเป็นนัยสำคัญอยู่ ที่ยังที่เชื่อว่าเพศเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และมีเพียงสองไม่ชายก็หญิงความคิดต่างที่ไม่ได้ปฏิเสธความหลากหลายทางเพศ เพียงแต่จะแยกเพศกายภาพอันเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ออกจากเพศสภาพที่สังคมมนุษย์กำหนดขึ้น ชาวเฟมทวิตก็ยังอาจมองว่าถ้ายอมให้ถกเถียง หรือแสดงจุดยืนที่ต้องมาแยกแยะกันซับซ้อนนี้ แนวคิดเรื่องความหลากหลายทางเพศและการข้ามเพศก็จะถูกทำให้ไขว้เขว ในสภาพที่แนวคิดนี้ยังไม่แข็งแรงขนาดนั้นก็อาจจะทำให้ความพยายามของคนหลายกลุ่มในหลายสิบปีนี้ถูกทำลายลงดังนั้นข้อถกเถียงที่อาจจะเป็นการตั้งคำถามกับเพศวิถีและความหลากหลายทางเพศนี้ถ้ามี จึงต้องรีบริดและกำราบเพื่อไม่ให้มันต่อยอดกลายเป็นแนวคิดแย้งที่จะทำลายแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางเพศที่ยังไม่แข็งแรงพอได้

เช่นเดียวกับที่นางแบก (และนายแบก)” และคนที่เชื่อในแนวทางนั้นมองว่า ปัญหาเร่งด่วนที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้คือการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองกลับมาให้ได้ ด้วยการทำทุกวิถีทางให้พรรคที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยที่ความเป็นไปได้ที่สุดที่จะชนะการเลือกตั้งแบบขาดลอยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือมีส่วนเลือกหานายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า เป็นความสำคัญอันดับแรกเสียจนเรื่องอื่นที่อาจจะทำให้เสียโฟกัสหรือเปิดจุดอ่อนโดยไม่จำเป็นนั้นต้องตัดออกไปก่อน แต่ไอ้เรื่องที่ตัดออกไป มันรวมถึงการต่อสู้ทางการเมืองที่เกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างหลักทางการเมืองและเรื่องสิทธิเสรีภาพผู้คนด้วย

แต่เรื่องนี้อาจต้องยอมรับความจริงว่า ด้วยกลไกสารพัดที่ได้เห็นกันในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ต่อให้ฝ่ายประชาธิปไตยที่พร้อมที่สุดลงสนามเลือกตั้งในสภาพสมบูรณ์เต็มที่ ก็ยังสุ่มเสี่ยงว่าถ้าสูสีก็จะแพ้ หรือที่ควรชนะขาดก็อาจจะเหลือแค่ชนะแบบปริ่มน้ำอยู่แล้ว แต่ฝ่ายประชาธิปไตยที่ควรอยู่ข้างเดียวกัน กลับมาตอดกันด้วยเรื่องรายละเอียดวิธีการจนสร้างความอ่อนแอโดยไม่จำเป็น เพียงเพื่อขิงว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย (กว่า)” เพื่ออะไร การเสียที่นั่งไป 1 ที่นั่งเพียงเพราะเกี่ยงงอนกันว่าใครประชาธิปไตยมากกว่ากันในที่สุดอาจจะทำให้นายกรัฐมนตรีคนต่อไปก็ยังเป็นคนเดิม หรือคนในกำกับของอีกฝ่ายนั้น และฝ่ายประชาธิปไตยก็จะต้องจมอยู่กับความพ่ายแพ้เสียเปรียบไปพร้อมกับประเทศที่ผุผังจวนล่มสลายต่อไปอีก 4 ปีเต็มๆ

ถ้ามองในแง่นี้ก็พอจะเข้าใจได้อยู่ว่าทำไมนางแบก”(และนายแบก)” ถึงต้องเปิดศึกกับฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันที่เห็นต่างคิดต่างในเชิงกลยุทธ์การต่อสู้แบบยับๆ อย่างนี้ ก็เพราะว่าถ้าเกลียดเผด็จการเหมือนกัน ทำไมไม่สู้หาวิธีให้เผด็จการมันแพ้ไปก่อนล่ะ

ในขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตย (กว่า)” ก็มองว่าการจะเอาชนะเผด็จการจนละทิ้งประเด็นสำคัญในการต่อสู้ หรือมุ่งเน้นกับชัยชนะจนยอมจับมือกับคนอีกพวกอีกฝ่ายที่พอคุยได้ มันคือความถูกต้องและจะสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนได้หรือ

ฝ่ายนางแบก (และนายแบก)” จึงเรียกฝ่ายประชาธิปไตย (กว่า)” ว่าเป็นพวกสลิ่มเฟสสองดัดจริตไม่สนใจความเป็นจริง และอีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า การกระทำและท่าทีแบบนี้ก็ไม่ผิดจากพวกเผด็จการอำนาจนิยมที่กำลังต่อสู้ด้วยเลย

วิวาทะและการปะทะกันของคนทั้งสองฟากในฝั่งเดียวกันนี้ก็คงดำเนินต่อไป แต่ก็อยากจะฝากไว้ว่า ถ้าอย่างน้อยเรามีจุดร่วมกันว่ายังต้องการปกครองที่ประชาชนมีส่วนร่วม และขับไล่ฝ่ายการเมืองที่ต่อยอดอำนาจมาจากคณะรัฐประหารเมื่อ 8 ปีก่อนให้สำเร็จได้นั้น ไม่ว่าจะเชื่อในแนวทางใดหรือจะใช้วิธีไหน สำคัญที่สุด คืออย่าหยามน้ำใจทำร้ายกันเองจนเกินไป จนในที่สุดอาจจะกลายเป็นว่า กับอีกฝ่ายอีกฝั่งก็พ่ายแพ้ ส่วนที่อยู่ฝั่งเดียวกันก็ยังเป็นศัตรู

กล้า สมุทวณิช

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image