สะพานแห่งกาลเวลา : ทะเลกับน้ำปนเปื้อนรังสี ที่ ‘ฟุกุชิมะ ไดอิจิ’

สะพานแห่งกาลเวลา : ทะเลกับน้ำปนเปื้อนรังสี ที่ ‘ฟุกุชิมะ ไดอิจิ’

ต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ เหตุการณ์แผ่นดินไหวบวกกับสึนามิซึ่งก่อให้เกิดหายนะภัยนิวเคลียร์ที่เมืองโอคุมะ จังหวัดฟุกุชิมะ ริมฝั่งทะเลด้านตะวันออกของญี่ปุ่น ก็จะมีอายุครบ 12 ปีเต็ม และยังไม่หมดปัญหา

จนถึงบัดนี้ โลกยังต้องถกกันถึงอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ฟุกุชิมะ ไดอิจิ ของบริษัท โตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ หรือเทปโก ว่าควรทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด

อุบัติเหตุนิวเคลียร์ครั้งนั้น ทำให้เทปโกตัดสินใจปลดระวาง ปิดการใช้งาน ฟุกุชิมะ ไดอิจิ เป็นการถาวร

ADVERTISMENT

กระบวนการปิดการทำงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นการถาวรใช้เวลานาน ยิ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่เกิดอุบัติเหตุยิ่งต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ เพื่อให้ทุกอย่างเสถียรและปลอดภัยตลอดไป

ประเมินกันว่ากระบวนการทั้งหมดที่ต้องทำกับ ฟุกุชิมะ ไดอิจิ จำเป็นต้องใช้เวลาถึง 40 ปีเป็นอย่างน้อย

ADVERTISMENT

ผ่านไปกว่าสิบปี รัฐบาลญี่ปุ่นกับเทปโก เจอปัญหามากมายในการจัดการกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ ปัญหาใหญ่ล่าสุดที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันก็คือ จะทำอย่างไรดีกับน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี ที่เก็บสะสมไว้ในถังเก็บกักขนาดใหญ่กว่า 1,000 ถัง รวมปริมาณ 1.3 ล้านตัน

เมื่อตอนเกิดเหตุ แหล่งผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้กับเตาปฏิกรณ์ในโรงไฟฟ้า ถูกคลื่นยักษ์สึนามิถล่มเข้าใส่ ทำให้ระบบไฟฟ้าดับ ส่งผลกระทบต่อระบบสูบน้ำหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์หยุดทำงาน เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้า 3 เตาจากทั้งหมด 4 เตา ร้อนจัดจนหลอมละลาย ตัวเตาและเกราะป้องกันเสียหาย ปล่อยกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกสู่ภายนอก

เพื่อยุติการหลอมละลายของแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ จำเป็นต้องฉีดน้ำเข้าไปภายในเตาปฏิกรณ์เพื่อระบายความร้อน ทำให้เตาเย็นลง แล้วสูบน้ำออก นำน้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีไปเก็บไว้ในถังเก็บกัก ฉีดน้ำใหม่เข้าไป วนเวียนอยู่เช่นนี้ เพื่อไม่ให้อุบัติเหตุเลวร้ายลงไปอีก

น้ำสำหรับทำให้เตาปฏิกรณ์เย็นลงเหล่านั้น บวกกับน้ำใต้ดินที่รั่วไหลเข้าไปภายในเตาที่โครงสร้างภายในเสียหาย คือที่มาของน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีกว่า 1.32 ล้านตันดังกล่าว

การฉีดน้ำสูบน้ำดังกล่าวเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเลวร้ายขึ้นอีก ดังนั้นน้ำปนเปื้อนจึงมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

เฉลี่ยแล้ววันหนึ่งมีน้ำปนเปื้อนเพิ่มมากขึ้นถึง 100,000 ลิตรทุกวัน

ไม่แปลกที่พื้นที่สำหรับตั้งถังเก็บกักกำลังจะหมดลง จำนวนถังเก็บกักราว 96 เปอร์เซ็นต์ ถูกใช้เก็บกักจนเต็มแล้ว

ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าไม่แสวงหาที่เก็บกักใหม่ ก็จำเป็นต้องปล่อยน้ำที่เก็บกักเอาไว้สู่ธรรมชาติ

นอกจากนั้น การทิ้งน้ำปนเปื้อนไว้ในถังเก็บกักเช่นนี้ตลอดไป ก็เหมือนกับเอาระเบิดเวลามาวางไว้หน้าบ้าน รอวันที่จะเกิดหายนะภัยครั้งใหม่ขึ้นตามมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหว หรือพายุไต้ฝุ่นพัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งดังกล่าว มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้น้ำปนเปื้อนในถังทะลักลงสู่ธรรมชาติโดยตรง

แน่นอน การปล่อยน้ำปนเปื้อนจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลับสู่ธรรมชาติ ไม่ได้เป็นการปล่อยทิ้งไปเฉยๆ แต่ต้องผ่านกระบวนการบำบัดจนแน่ใจว่าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผู้คนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) องค์กรระหว่างประเทศ ที่ขึ้นตรงต่อสมัชชาใหญ่ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทบทวนกระบวนการที่เทปโกจะใช้ในการบำบัดก่อนปล่อยน้ำจากฟุกุชิมะ ไดอิจิ ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว ระบุว่า เป็นกระบวนการที่ได้มาตรฐานสากล และจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับสิ่งแวดล้อม 

แต่หลายประเทศไม่เห็นด้วย ชุมชนชาวประมงในพื้นที่ฟุกุชิมะ ก็ไม่เห็นด้วย

ชาวประมงเหล่านี้เคยได้รับความเสียหายมาแล้วเมื่อครั้งเกิดอุบัติเหตุขึ้น ปลาและอาหารทะเลจากพื้นที่นี้ขายไม่ออกแม้แต่ภายในญี่ปุ่นเอง

พวกเขาเกรงว่าการปล่อยน้ำปนเปื้อนครั้งนี้ จะก่อให้เกิดผลกระทบเช่นนั้นอีก

ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ รวมทั้ง จีน และเกาหลีใต้ ก็คัดค้านการปล่อยน้ำปนเปื้อนลงสู่ธรรมชาติเช่นเดียวกับกลุ่มรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกรีนพีซ ซึ่งชี้ว่า วิธีที่เทปโก เลือกคือวิธีที่ถูกสตางค์ ที่สุด ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด

ที่ค้านหนักแน่นเช่นกันก็ คือ บรรดาชาติหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่เคยโดนกระทำจากการทดลองนิวเคลียร์ของชาติมหาอำนาจ อย่างฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกามาตลอด

พวกเขาบอกง่ายๆ ว่า ถ้าเชื่อว่าปลอดภัยก็เอาน้ำพวกนี้ไปทิ้งที่โตเกียว หรือปารีส วอชิงตัน สิ

อย่างมาทิ้งใส่แปซิฟิก ที่เป็นเหมือนที่ทิ้งขยะนิวเคลียร์เข้าไปทุกทีแล้ว

ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image