‘ป้องกันโรค’ดีกว่า‘ประกันโรค’

“การป้องกันโรค” คือ การจัดให้มีระบบระเบียบ หรือวางมาตรการ การดูแลสุขภาพเพื่อไม่ให้ “คน” ทุกกลุ่มวัย ทุกอาชีพเป็น “โรค” ซึ่งอาจจะเป็นโรคติดต่อ (Communicable disease) หรือโรคไม่ติดต่อ (Noncommunicable disease) จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเจ็บป่วย พิการ หรือตายได้ในที่สุด

“การเฝ้าระวังโรค” (Surveillance System) เป็น
กระบวนการสร้างระบบหรือมาตรการ การเฝ้าระวัง ดูแลสุขภาพ อันอาจจะเกิดจากปัจจัยภายใน หรือภายนอกก็ตาม สัมผัสหรือบริโภคเสพเข้าไป จงใจหรือไม่จงใจ จนเป็นสาเหตุทำให้คนคนนั้นเกิดพยาธิสภาพเจ็บป่วย พิการ หรือตายได้ ด้วยการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้ และหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องมีการเฝ้าระวังติดตามความก้าวหน้ารุกคืบของพยาธิสภาพไม่ให้รุนแรงมากขึ้นๆ จนในที่สุดควบคุมไม่ได้ แล้วนำไปสู่ความตาย

“การป้องกันโรค” หากนำมาเทียบกับเชิงพาณิชย์ ธุรกิจ “หลักประกันชีวิต” พอจะเทียบได้ว่า คนที่มีรถยนต์ “ต้องประกันภัยรถยนต์” ทางระบบการจราจรคือ การป้องกันภัยอันอาจจะเกิดกับ “บุคคลที่ 3” อันเนื่องมาจากรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ชนกันแล้วมี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บาดเจ็บหรือตาย ซึ่งเป็น “บุคคลที่ 3” บางคนประกันบ้าน บางคนประกันชีวิต แม้นักกีฬาระดับสโมสร ระดับชาติ หรือระดับโลก สโมสรจะประกันการบาดเจ็บของนักกีฬาโดยเสียค่าประกันเป็นล้านๆ บาท

คำว่า “ประกัน” หากมาพิจารณาดูจริงๆ การทำ “ประกันชีวิต” ของท่าน ใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน ตัวท่านต้องเสียค่าประกันปีละไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นหรือมากกว่า เมื่อท่านเสียชีวิตแล้วท่านจะไม่ได้อะไรเลย…จริงไหม? ถ้าท่านเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุ ท่านจึงจะได้รับผลประโยชน์จากการทำประกันของท่าน แต่การทำประกันชีวิตแบบนี้… “บริษัทประกัน” เท่านั้น ที่ได้ผลประโยชน์เต็มๆ โดยเฉพาะถ้าท่านสบายดี ในกรณีเช่นนี้ท่านอาจจะ “ขาดทุน” ดอกเบี้ย

Advertisement

ถ้าเสียชีวิต ครอบครัวจึงจะได้เงินประกัน ถามถึงความคุ้ม คงไม่มีอะไรคุ้มกับชีวิตคน ครอบครัวเสียคนที่รัก

หรือหากโรคยังไม่รุนแรงพอที่จะแสดงอาการออกมา ดังเช่นคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน แล้วมีโรคแทรกซ้อนด้วย หลอดเลือดหัวใจตีบมานาน 5-10 ปีแล้ว อาจจะตีบแล้ว 30% โดยยังไม่มีอาการแสดงออกมา เช่น จุกแน่น เจ็บหน้าอก ร้าวไปสะบักข้างซ้าย ท้องแขนซ้ายด้านใน หายใจขัด อึดอัด เป็นลม ใจสั่น การไม่มีอาการเช่นนี้ไม่ได้แสดงว่าร่างกายจะแข็งแรง ซึ่งพบได้บ่อยๆ มากในวัย 50-60 ปี เกิดภาวะเครียด ตกใจ เสียใจรุนแรง จะกระตุ้นซ้ำเติมหัวใจทำงานมาก เต้นเร็ว และแรง ทำให้เกิดอาการออกมาชัดเจน เมื่อเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบมากขึ้น มากกว่า 50-90% จนเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ไม่ทำงานในที่สุดจึงเสียชีวิต

ประเทศไทยเรานั้น นับวันจะมีผู้สูงอายุเกิน 60 ปี สูงขึ้นๆ ตามลำดับในปี 2554 ร้อยละ 12.2 ในปี 2559 ร้อยละ 16.5 ของประชากรทั้งหมด ภายใน 5 ปีที่ผ่านมาจะพบว่าสูงขึ้นร้อยละ 11 ประชาชนชายไทยอายุยืนยาวขึ้น คือ ปี 2559 ข้อมูลในกลางปี 2559 (1 กรกฎาคม 2559) จากสารประชากร สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดชายประมาณ 71.8 ปี หญิงประมาณ 78.6 ปี และคาดว่าประชาชนอายุคาดเฉลี่ยที่อายุ 60 ปี (จำนวนปีเฉลี่ยที่คาดว่าผู้ที่อายุ 60 ปี จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกกี่ปี) ชาย 20.1 ปี หญิง 23.4 ปี แปลว่าอายุยืนเป็นชาย 80.1 ปี หญิง 83.4 ปี อีก 20 ปี ผู้สูงอายุเกิน 60 ปีจะมีสูงถึง 25% ซึ่งจะเป็น “สังคมผู้สูงอายุ” โดยปริยาย ขณะนี้ปัจจุบันเราทุกท่านที่ยังเป็นวัยเด็กเล็ก วัยรุ่น วัยเยาวชน ที่มีอายุยังน้อย หากเรารู้จัก “ป้องกันตน” (Prevention) หรือรู้จักส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) โดยรู้อยู่ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ปรับตัวด้านพฤติกรรมสุขภาพตนเอง และปรับตัวสร้างปัจจัยสิ่งแวดล้อม ทำให้เอื้อต่อการสร้างสุขภาพ มีโอกาสจะมีอายุยืนยาวถึงกว่า 80 ปี ภายใต้บริบทของสังคมที่อยู่อาศัยหรือชุมชน หรือครอบครัวที่อบอุ่น

Advertisement

“สูงอายุอย่างมีคุณภาพ” หมายถึงอายุ 80 ปียังเดินได้ ทานได้ ถ่ายได้ อ่านได้ ฟังได้ นอนได้ ขับรถได้ ความจำ (สมอง) ยังดี ยังมีความสุขกับครอบครัว ลูกๆ หลานๆ รวมทั้งยังทำประโยชน์อย่างมากให้กับประเทศชาติ เพียงท่านมีประสบการณ์ชีวิตที่ดีได้สะสมมามากมาย ท่านต้องไม่เป็นโรคที่ป้องกันได้ ต้องไม่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุโดยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรค และได้รับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ ครอบครัว สามี ภรรยา บิดา มารดา หรือปู่ ย่า ตา ยาย หรือบุคคลที่มีความสำคัญสำหรับบริษัท ห้างร้าน องค์กร หรือประเทศชาติ ฯลฯ ใช่หรือไม่?

ทางที่ดีที่สุดของชีวิตเราเท่านั้น ให้ทำประกันชีวิตของท่านเอง โดยให้คำมั่นสัญญาหรือซื้อประกันชีวิตของตัวเองว่าเราจะ “ป้องกันโรค” โดยตัวเราเอง ดีกว่าไปประกันโรค หรือประกันชีวิตกับบริษัท ท่านเองจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ 100% ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเองจะพบหรือมีสุขภาพกาย ใจ สังคม เศรษฐกิจดี พอเพียงและมีปัญญาดีด้วย ใน “เรือนร่าง (กาย)” ที่สมบูรณ์ (Perfect) โดยทำให้ท่านมีโอกาสมีอายุยืนยาว มีคุณภาพ วิธีการนี้จะช่วยทำให้ตัวท่านเองได้รับประโยชน์จากการ “ประกันชีวิต” (ป้องกันโรค) ของท่านเองในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ครอบครัว พี่ๆ น้องๆ พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ก็มีความสุข เป็นครอบครัวอบอุ่น ซึ่งวิธีนี้ง่ายมาก ราคาก็ถูก ได้ประโยชน์คุ้มค่า ด้วยการดูแลสุขภาพของท่านให้ดี ให้แข็งแรง ให้มีชีวิตอย่างมีคุณภาพและอายุยืนยาว โดยมีสติตั้งอยู่ตลอดเวลา ห้ามประมาททุกขณะจิต

15271344_1136623499719739_465578570_o

การที่จะดูแล “ตนเอง” เพื่อป้องกันโรคนั้น มี 2 ปัจจัยหลัก คือ ป้องกันโรค อันเกิดจากเหตุ “ปัจจัยภายนอก” รอบตัวทั้งด้านฟิสิกส์ เคมี แม้กระทั่งตัวเราทำเอง โดยประมาทเลินเล่อ ขาดสติยั้งคิด หรือสุดวิสัยก็ตาม เช่น อุบัติเหตุติดเชื้อเอดส์ เป็นต้น ซึ่งดำเนินได้ 2 รูปแบบ คือ (1) การฉีดวัคซีนให้ภูมิคุ้มกันโรค (EPI) อย่างครบสูตร และ (2) ใช้ 3อ. คือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, อาหารให้ครบ 5 หมู่, อารมณ์ดี, 3ลด. คือ ลดเหล้า, ลดบุหรี่, ลดอ้วน เป็นวัคซีนชีวิตที่ดี สร้างได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องซื้อขายกัน ส่วนอีกปัจจัยคือ ปัจจัยภายในของเราเอง อันเนื่องมาจากต้นทุนของชีวิต คือ ยีน (Gene) ถ่ายทอดกันทางพันธุกรรม ซึ่งบางโรคป้องกันได้แล้ว เช่น กามโรค ซิฟิลิส ธาลัสซีเมีย บางโรคยังป้องกันไม่ได้ แต่พอหลีกเลี่ยงได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ดาวน์ซินโดรม

เบื้องต้นเราต้องมีข้อมูลอะไรบ้างที่ทำให้เรามีปัญหาจากการเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุ เราจะไม่ปฏิบัติตนเองเพื่อเป็นการป้องกันอย่างเหมาะสม หรือบางอย่างเราสร้างระบบเฝ้าระวังเอาไว้เสมอๆ ต่อเนื่องว่าสิ่งนี้อาจจะหรือต้องเกิดแน่ จะได้สร้างระบบหลีกเลี่ยง หรือสร้างเสริมเพื่อป้องกันให้ “เราต้องไม่เป็นโรค” ทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะโรคที่เราป้องกันได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อ (CD) หรือโรคไม่ติดต่อ (NCD) เราต้องมีสุขภาพดีและแข็งแรงอีกด้วย

ท้ายสุดนี้ ผู้เขียนอยากจะบอกทุกๆ คนได้ทราบว่า การไม่มีอาการ…ของโรค ไม่ได้แปลว่า หรือหมายความว่า… “ไม่เป็นโรค” โรคอาจจะเริ่มฟักตัวเป็นมานานแล้ว แต่ร่างกายยังดีๆ มีระบบต้านทาน กลบอาการ ซึ่งสภาวะการเป็นโรคภัยไข้เจ็บอาจเกิดได้ตลอดเวลา คนเราจะเกิดสุขภาพดีได้นั้น อย่าประมาท “ป้องกันโรค” ด้วย “ตัวของเรา” เองเท่านั้น ดีกว่า คุ้มกว่า การประกันชีวิต การประกันสุขภาพ เพราะเมื่อเราตายไปแล้ว เราก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ บริษัทประกันก็ได้ผลประโยชน์จากเราเท่านั้น : สรุป : “การป้องกันโรค” ดีกว่า คุ้มกว่า “การประกันชีวิต” นะครับ

ผู้เขียนมีแนวคิดในการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อเสนอ เพื่อการมีสุขภาพดีของมนุษย์ หรือคนทุกคน ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานทุกคนต้องมี ต้องได้ ทั้งภาครัฐจัดบริการหาให้ เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรค (DPT + Polio) และตัวเราเองต้องสร้างหรือทำด้วยตัวเอง เช่น “3อ.” … “3ลด.” ได้แก่ การออกกำลังกาย (วันละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3 วัน) อาหาร (กินให้ครบ 5 หมู่ ลดหวาน มัน เค็ม) อารมณ์ดี ยิ้มแย้มเสมอ ลดอ้วน ลดเหล้า ลดบุหรี่ เป็น “วัคซีนชีวิต” เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมเพื่อจะได้เกิดความยั่งยืนคือ ด้วยการใช้…

“บัตรส่งเสริมสุขภาพ 30 บาท ป้องกันทุกโรค” โดยจะได้รับบริการ 6 ประการ คือ 1.ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ (EPI) 2.ตรวจสุขภาพทั่วไปรายบุคคล (วัดความดันโลหิต วัดระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจปอดและหัวใจเบื้องต้น) 3.ตรวจรักษา ค่ายารักษาโรค ตามสิทธิการรักษาพยาบาลที่ถืออยู่ 4.ให้คำแนะนำเป็นที่ปรึกษาดูแลสุขภาพ ได้รับกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ 3อ. 3ลด. อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ และโรคสมอง 5.ให้บริการรับส่งด้วยรถพยาบาลฉุกเฉิน กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และโรคหลอดเลือดหัวใจ (STEMI) โดยโทรศัพท์ติดต่อเพื่อรับบริการที่หมายเลข 1669

6.กรณีเกิดโรคระบาด เช่น ไข้เลือดออก ให้แจ้ง อสม.หรือโทรสายด่วน 1669 จะจัดส่งทีมสอบสวนโรค ป้องกันโรคระบาดโดยเร่งด่วน ผู้เขียนได้พูดคุยกับน้องๆ ชาวสาธารณสุขบางส่วน ส่วนใหญ่ก็เห็นดีด้วยว่า ประหยัด คุ้มค่า เข้าถึงบริการด้านส่งเสริมและป้องกันโรคอย่างดีและเป็นรูปธรรม และจะเกิดความยั่งยืนและมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งกาย ใจ หากทุกคนร่วมด้วยช่วยกันนะครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image