ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
แท็งก์ความคิด : เนื้อหาจากชีวิต
ถือเป็นอีกวันที่ได้ไอเดีย เมื่อนั่งโต๊ะร่วมรับประทานอาหารกับนายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
นายไชยเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และเห็นคุณค่าของการส่งเสริมการอ่าน
เมื่อเครือมติชนมีแนวคิดส่งเสริมชุมชนให้เข้มแข็งด้วยหนังสือ ขณะที่ไทยประกันชีวิตมีโครงการ “ไทยประกันชีวิต Read For Life” มอบหนังสือสู่ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงสาขา 60 แห่งทั่วประเทศ
การส่งมอบหนังสือสู่ชุมชนโดยบริษัทไทยประกันและเครือมติชนจึงเกิดขึ้น
การมอบหนังสือให้โรงเรียนและชุมชน บริษัทไทยประกันไม่ได้เพิ่งทำ แต่ได้ทำมาตั้งแต่ปีมะโว้
โครงการนี้ บริษัทไทยประกันชีวิตจัดขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เพราะมีแนวคิดเรื่องการสร้างคุณค่าร่วมระหว่างองค์กรกับสังคม ตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่ความยั่งยืน (SD Master Plan)
ทั้งนี้ บริษัทไทยประกันชีวิตถือเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกที่จัดทำขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนตามแนวทาง ESG เพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมได้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
หนังสือที่ส่งมอบให้ชุมชนครั้งนี้ สำนักพิมพ์มติชนคัดเลือกให้เหมาะสมกับผู้อ่าน
อาทิ “บทเรียนเพื่อโลกหลังการระบาด Ten Lessons for a Post – Pandemic World” แปลโดย วิภัชภาค, “ปีศาจ” โดย เสนีย์ เสาวพงศ์, “สิ่งที่เคยมอง แต่ไม่เคยเห็น” โดย หนุ่มเมืองจันท์,
“ก้าวใหญ่ๆ ใช้ใจเริ่ม” โดย กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร, “วิ่งได้ ไม่ใช่แค่ได้วิ่ง” โดย ครูดิน-สถาวร จันทร์ผ่องศรี, “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว” โดย ธนินท์ เจียรวนนท์, “เมื่อความจนเฆี่ยนตีผม” โดย วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เป็นต้น
กิจกรรมการส่งมอบหนังสือของบริษัทไทยประกันและมติชน ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต 2 อย่าง
นั่นคือ คุณค่าจาก “การอ่าน” และคุณค่าจาก “การให้”
บริษัทไทยประกันชีวิต มิได้ให้เฉพาะหนังสือ แต่ได้ให้หลายอย่างแก่สังคม
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจาก “การให้” คือ “ความไว้วางใจ”
คนเราเมื่อมีความไว้วางใจกันแล้ว เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง
สำหรับการอ่าน เป็นการเปิดโลกทัศน์ และเติมเต็มสิ่งที่ขาด เพื่อความสมบูรณ์ในการดำเนินชีวิต
การอ่านหนังสือช่วยให้ตัวเราเองและสังคมเติบโตอย่างมีคุณภาพ
การสร้างคุณภาพด้วยการอ่านก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่เครือมติชนต้องการผลักดันให้สังคมไทยเดินไปให้ถึง
เรื่องคุณค่าจากการอ่านนี้ นายไชยประจักษ์ต่อตัวเองด้วยการปฏิบัติ เพราะเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก และเห็นความสำคัญของหนังสือ
การอ่านหนังสือมาก และการสั่งสมประสบการณ์จากการปฏิบัติ ทำให้นายไชยมีไอเดียดีๆ เอาไปบริหารงานเสมอ
ผลสำเร็จจากการบริหารก็นำมาถ่ายทอดให้ฟังเป็นประจำ
บนโต๊ะอาหารนี่แหละที่เป็นสถานที่ถ่ายทอดวิชาให้ได้รับฟัง
นายไชยเคยเป็นวิทยากรไปเล่าประสบการณ์การบริหารงานให้นักบริหารรุ่นใหม่ฟัง
เขาพยายามชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำว่า Passion กับคำว่า Drive
Passion นั้นคือความหลงใหล แต่ Drive เป็นแรงขับ
ความแตกต่างตามประสบการณ์ คือ แรงขับเกิดขึ้นเพราะการบีบคั้นทำให้เราต้องก้าวไปข้างหน้า
ถ้าไม่ก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่มีวันได้ถึงเส้นชัย
ถ้าไม่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยากที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้
ขณะที่ Passion นั้นเป็นความหลงใหลที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ในมุมมองของนายไชยมองว่า หากจะเดินหน้าสู่ความสำเร็จต้องมี Drive คือ แรงขับ เป็นหลัก
นอกจากนี้ นายไชยยังบอกกล่าวนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่อาจมองไม่เห็นความสำคัญของคนรุ่นเก่า
นายไชยมองว่า คนที่ทำงานมานาน ย่อมสั่งสมประสบการณ์มากมาย ทุกคนจึงเหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่ง ถ้ามีโอกาสได้อ่านหนังสือและค้นหา ผู้อ่านอาจได้เรียนรู้ประสบการณ์อื่นๆ อีกมากมาย
เรื่องนี้น่าเอามาคิดต่อ เพราะคนทุกคนล้วนมี “เนื้อหา” เป็นของตัวเอง
ไม่ใช่คนรอบข้าง หรือคนในองค์กรเท่านั้น หากแต่เป็นทุกคนล้วนมี “เนื้อหา” ของตัวเองที่น่าอ่าน
การพบปะพูดคุยกับผู้อื่นอยู่เสมอ จึงไม่ต่างจากการได้อ่านหนังสือที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิต
การพบปะพูดคุยกับผู้คนจึงเป็นประโยชน์ต่อชีวิต ถ้าสามารถจับประเด็นที่เป็นประโยชน์มาสานต่อ
เช่นเดียวกับการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาหลากหลาย แต่หากสามารถจับประเด็นใน “เนื้อหา” ที่เป็นประโยชน์มาได้ ชีวิตก็จะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปใช้
เฉกเช่นการได้พบปะกับนายไชยและทีมงานของบริษัทไทยประกันชีวิต
ทุกครั้งที่ได้พูดคุยมักได้รับ “ประโยชน์” เป็นไอเดียและข้อคิดที่นำกลับไปคิดต่ออยู่เสมอ
การพบปะพูดคุยจึงเสมือนได้อ่านหนังสือ ได้สัมผัสเนื้อหาจากชีวิตจริง
“เนื้อหา” ที่สามารถทำให้ตัวเราได้รับประโยชน์ และนำมาพัฒนาตัวเอง
นฤตย์ เสกธีระ