ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
เราอาจเริ่มนับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2566 เป็นการเปลี่ยนยุคสมัยทางการเมืองของประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งได้ จากชัยชนะของพรรคก้าวไกล
หากใครที่เกิดทันในยุคสมัยการเมืองก่อนปี พ.ศ.2544 คงจะจำได้ว่า คำขวัญหรือสโลแกนในการรณรงค์ให้คนไปเลือกตั้งในแต่ละครั้งนั้นจะใช้ถ้อยคำตรงกันว่าขอให้ “เลือกคนดี” เข้าสภา ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเมืองเชิงตัวบุคคล ซึ่งหมายถึงบุคคลที่จะมาเป็นผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้ง
“คนดี” ในยุคนั้นหมายรวมไปถึงคนที่เลือกเข้าไปเป็น ส.ส.แล้ว สามารถสร้างความเจริญให้เขตเลือกตั้งนั้นๆ ได้ ด้วยการเป็นรัฐบาลและต่อรองเอาทรัพยากรจากส่วนกลางในยุคที่ไม่มีการกระจายอำนาจ มาลงในท้องถิ่นในรูปแบบของสาธารณูปโภคถนนหนทาง
“คนดี” แบบนั้นสั่งสมขึ้นมาเป็นประเพณีทางการเมืองไทยในการมี “งบ ส.ส.” และระบบ “บ้านใหญ่” คือผู้แทนราษฎรหลายสมัยที่สั่งสมบารมีกันในระดับตระกูลหรือวงศ์วานว่านเครือ การเลือก ส.ส.ในยุคนั้นจึงขึ้นกับตัวบุคคล ที่แม้ว่าตัวตนของ ส.ส.คนนั้นจะย้ายไปอยู่พรรคอื่น ก็จะได้คะแนนเสียงตามตัวไปด้วย
การเมืองยุคตัวบุคคลก็สิ้นสุดลง โดยมี “จุดเปลี่ยนยุค” คือการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งแรกของพรรค “ไทยรักไทย” ที่ขับเคลื่อนด้วยการเสนอนโยบายที่ฟังดูเหลือเชื่อ เหลือเชื่อว่าต่อไปนี้การไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐจะมีค่าใช้จ่ายเพียง 30 บาท แต่ละตำบลจะมีวิสาหกิจขนาดเล็กพร้อมเงินทุน เด็กที่เรียนเก่งระดับอำเภอก็จะมีทุนให้ไปเรียนเมืองนอก ฯลฯ ที่แม้จะดูเหมือนการขายฝันในยุคนั้น แต่นั่นก็ทำให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งได้ถึง 248 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง เกือบได้เสียงข้างมากกึ่งหนึ่งพรรคเดียว ทั้งๆ ที่ผู้สมัคร ส.ส.บางคนเพิ่งลงสมัคร ส.ส.เป็นครั้งแรก
ซึ่งอย่างที่เราทราบ พรรคไทยรักไทยก็ทำได้จริงตามที่ได้หาเสียงไว้ เป็นครั้งแรกที่สังคมไทยได้เห็นว่า เราสามารถกำหนดสังคมและประเทศได้จากการเลือกตั้งด้วยการไปเลือกพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายในแนวทางที่เราต้องการ ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้พรรคไทยรักไทยคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 ได้ถึง 377 จาก 500 ที่นั่ง เป็นตำนาน “แลนด์สไลด์” ครั้งแรกของพรรคนี้
ซึ่งหลังจากนั้น แม้จะมีการรัฐประหารและยุบพรรคการเมืองถึงสองครั้ง พรรคไทยรักไทยต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนโครงสร้างไปเป็นพรรคพลังประชาชน และในปัจจุบันคือ “พรรคเพื่อไทย” และเมื่อมีการเลือกตั้งในครั้งใด อดีตพรรคไทยรักไทยก็สามารถคว้าชัยชนะ ได้จำนวน ส.ส.เป็นเสียงข้างมากของสภาได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 ซึ่งถ้าถือว่าการ “ชนะเลือกตั้ง” คือการได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภามากที่สุด ผู้ชนะก็ยังเป็นพรรคเพื่อไทย
ชัยชนะยาวนานในการเลือกตั้งทั่วไปของอดีตพรรคไทยรักไทยที่ยาวนานถึง 22 ปี ก็ถึงเวลามาหยุดลงในการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 ที่เพิ่งผ่านมานี้ ที่แม้ขณะที่เขียนต้นฉบับยังถือว่าไม่เป็นทางการ แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นพรรคก้าวไกล ที่ได้ที่นั่งในสภามากที่สุด อยู่ที่ประมาณ 151 ที่นั่ง ส่วนพรรคเพื่อไทยได้อยู่ที่ประมาณ 141 ที่นั่ง
เป็นการเปลี่ยนยุคทางการเมืองอีกครั้ง จาก “การเมืองเชิงนโยบาย” ไปสู่ “การเมืองเชิงอุดมการณ์” ซึ่งหมายถึง “อุดมการณ์ประชาธิปไตย”
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าพรรคเพื่อไทยแพ้เพราะไม่มีหรือไม่ได้ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย การต่อสู้กับอำนาจรัฐและฝ่ายจารีตจนถูกรัฐประหารโดยกองกำลังทหารและกลไกทางอำนาจจนถูกยุบพรรคมาหลายครั้งที่ผ่านมานั้น ก็ประจักษ์แจ้งแล้วว่าพรรคเพื่อไทยก็ยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้ประเทศนี้มีประชาธิปไตยมาโดยตลอด
แต่ก็เป็นอย่างที่รู้และยอมรับกันว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยเลือกที่จะเสนอแนวทางการกลับมาขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อความ “อยู่ดีกินดี” ของประชาชนเป็นหลัก และเพื่อการที่จะขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อความอยู่ดีกินดีนั้นคือการต้องเป็นรัฐบาลให้ได้ นั่นอาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่พยายามที่จะหักหาญกับฝ่ายอำนาจจารีต เช่น การไม่กล่าวให้ชัดแจ้งว่าจะร่วมจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐที่ตั้งขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร คสช.หรือไม่ และอาจรวมถึงการไม่เสนอนโยบายเชิงสังคมหรือผลักดันกฎหมายที่จะกระทบกระเทือนต่ออำนาจของฝ่ายจารีตด้วย
การดำเนินแนวทางดังกล่าวนั้นต้องให้ความเป็นธรรมว่าก็เป็นแนวทางเหมาะสมหากพิจารณาถึงความเป็นไปได้จริงในการกลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อนำพาเศรษฐกิจและสังคมไปสู่แนวทางแห่งความอยู่ดีกินดีตามที่ให้สัญญา
เพียงแต่ประชาชนในปัจจุบันไม่พอใจเพียงแค่นั้นแล้วเท่านั้นเอง
ประชาชนมีความต้องการที่ไปไกลกว่านั้นด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนผ่านกลไกทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
นโยบายต่างๆ ของพรรคก้าวไกลอาจจะไม่ใช่การดำเนินนโยบายที่เป็นรูปธรรมหรือนำไปสู่การ “กินดีอยู่ดี” ที่ชัดเจนเท่าพรรคเพื่อไทย แต่นั่นก็เป็นการขับเคลื่อนเพื่อสร้าง “สภาวะแวดล้อม” ทางสังคมที่เป็ประชาธิปไตย
เป็นสังคมประชาธิปไตยที่ผู้คนไม่ว่าจะเพศใดก็สมรสกันได้อย่างเท่าเทียม สังคมที่กองทัพเป็นทหารอาชีพที่มาจากความสมัครใจไม่ใช่การบังคับเกณฑ์ สังคมที่แต่ละท้องถิ่นจะสามารถกำหนดอนาคตและการพัฒนาของตัวเอง ผ่านการเลือกตั้งผู้บริหารและปกครองที่เคยเป็นตำแหน่ง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมและลิดรอนสิทธิเสรีของประชาชนในเรื่องอื่นๆ
นี่คือการนำเสนอ “อุดมการณ์” ประชาธิปไตยและความเท่าเทียมเป็นหลักก่อน แล้วจึงแตกออกมาเป็นนโยบายต่างๆ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว แนวทางดังกล่าวนี้ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระดับอุดมการณ์เช่นนี้ อาจถูกต่อต้านได้จากผู้มีอำนาจเก่าที่ยังยึดถือจารีตแบบอำนาจเดิมแทบทุกแวดวงแห่งอำนาจ ที่อาจเป็นไปได้ว่าการขับเคลื่อนนโยบายในการปฏิรูปโครงสร้างทั้งหลายตามแนวทางของพรรคก้าวไกลในบางเรื่องก็ไม่อาจสำเร็จหรือเปลี่ยนแปลงสังคมได้ดังคาดหวัง
หากกระนั้น ประชาชนก็ได้ให้คำตอบผ่านบัตรเลือกตั้งแล้วว่า เราต้องการ “การเมือง” ในรูปแบบนี้มากกว่าการเมืองที่นำด้วยธงเรื่องนโยบายเป็นหลัก แล้วปรับลดหลักการลงมาเพื่อหวังขับเคลื่อนนโยบายนั้นอย่างเป็นรูปธรรม (ซึ่งก็ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าแนวทางดังกล่าวก็ไม่ได้ผิดอะไรจริงๆ)
สุดท้ายนี้ มีคำกล่าวที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มนำมาใช้ในบริบททางการเมืองไทยในห้วงแห่งความเปลี่ยน แปลงนี้เป็นครั้งแรก แต่เชื่อว่าน่าจะเป็น “พี่ตุ้ม” สรกล อดุลยานนท์ หนุ่มเมืองจันท์ของเรา
คำกล่าวที่ว่า “เมื่อสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงพัดมาแล้ว ท่านจะสร้างกำแพงหรือกังหัน”
การ “สร้างกำแพง” หมายถึงความพยายามในการสกัดกั้นความเปลี่ยนแปลงนั้น ส่วนการ “สร้างกังหัน” หมายถึงการโอบรับและนำความเปลี่ยนแปลงนั้นมาแปรให้เป็นพลังงานเพื่อประโยชน์
ด้วยตัวเลขสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในตอนนี้ เฉพาะพรรคก้าวไกลรวมกับพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้านและพรรคที่ถือเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอื่นๆ ตอนนี้รวมกันได้เกินกว่า 300 ที่นั่ง “โดยปกติ” ก็เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากและเลือกให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคที่ชนะการเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว
หากเราก็ทราบตรงกันว่า ในตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่ “ไม่ปกติ” ด้วยกับดักทางรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารออกแบบไว้ ที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา 250 คน ที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร มีอำนาจในการเลือกตัวนายกรัฐมนตรีได้ด้วย โดยคะแนนเสียงของผู้ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องได้คะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาคือ ส.ส.และ ส.ว. รวมกันที่ 376 เสียง
ทั้งนี้ วิถีทางที่จะแก้กับดักนี้ ไม่ว่าทางไหนก็ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อการปกครองประเทศต่อไปในระยะสั้นเป็นอย่างยิ่ง
แนวทางแรกที่ ส.ว.บางส่วน “ท้า” ให้ ส.ส.รวมตัวกันเองให้เกิน 376 เสียงให้ได้นั้น เอาเข้าจริงโดยทฤษฎีและทางปฏิบัติจากตัวเลขในขณะนี้ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่หลังจากนั้น เราจะได้รัฐบาลเสียงข้างมากถึง 376 ต่อ 124 เสียง และนั่นจะทำให้เกิดรัฐบาลที่เข้มแข็งเกินไป จนแน่นอนว่าจะมีปัญหาต่อการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลผ่านกลไกรัฐสภา
ยิ่งกว่านั้น สำหรับท่านที่ “กลัว” การแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ด้วยกฎหมาย ก็รับรองได้เลยว่า ถ้าบีบกันจนต้องออกมาในรูปแบบนี้ ไม่ว่าจะเสนอกฎหมายอะไรก็จะผ่านสภาผู้แทนราษฎรได้ทั้งหมดแน่ๆ ถึงขนาดว่าทาง ส.ว.จะไม่เห็นชอบหรือวีโต้ ก็สามารถออกเสียงยืนยันประกาศใช้เป็นกฎหมายได้
ถามว่าจะเอาแบบนั้นจริงๆ หรือ?
ส่วนแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เนติบริการผู้ดีผู้งามแย้มออกมานั้นก็ยังพอมีทางเป็นไปได้ เพียงแต่ในตอนนี้ ฝ่ายเสียงรัฐบาลเดิมในสภายังอยู่ที่ราวๆ 180 ที่นั่งปริ่มๆ แม้จะรวมตัวกันกับ ส.ว. ออกเสียงแต่งตั้งนายกฯได้ แต่รับรองว่าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือต้องให้ความเห็นชอบกฎหมายสำคัญใดๆ ก็เห็นเค้าลางว่ารัฐบาลจะปลิวตั้งแต่วาระแรกเลยทีเดียว
จะเห็นว่า ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีต่อฝ่ายอำนาจจารีต ไม่ดีต่อฝ่ายที่ถือหางพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นั่นคือการที่ท่านเลือกสร้างกำแพงเพื่อสกัดกั้นสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง ซึ่งขอให้คิดว่าถ้ากำแพงนั้นทานกำลังลมไม่ไหวถล่มลงมา ก็ลองนึกถึงสภาพของผู้คนที่หลบอยู่ด้านหลังดู
เพราะการทำเช่นนั้นคือการหักหาญน้ำใจผู้คนทั้งประเทศครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศนี้ อย่างที่ถ้าท่าน ส.ว.ผู้ใดยังคิดที่จะใช้ชีวิตหรือมีลูกหลานอยู่ในประเทศไทย ก็จงคิดกันให้หนักและรอบคอบเสียก่อนว่า ท่านและครอบครัวตลอดจนวงศ์วานว่านตระกูล พร้อมที่จะเป็นศัตรูกับคนไทยค่อนประเทศแล้วจริงหรือ
ผู้คนที่บางคนอาจจะเป็นครูหรือพี่เลี้ยงหลานวัยเด็กอ่อนของท่านที่โรงเรียนอนุบาล เป็นแพทย์ที่จะมารักษาผ่าตัดให้ท่านหรือคู่ชีวิต บุตรหลาน หรืออาจจะเป็นเพื่อนสนิทของท่านก็ได้
แน่ใจได้เลยว่า หากท่านใช้ชีวิตอยู่ในประเทศต่อไป อย่างไรเสีย ท่านและครอบครัวจะต้องถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนเหล่านี้ ลองดูภาพความโกรธเกรี้ยวของผู้คนที่สงสัยว่าจะโกงการเลือกตั้งที่เขตบางพลัดเมื่อคืนต่อเช้ามืดของวันเลือกตั้ง นั่นเป็นจำนวนคนเพียงหลักพันหลักร้อย ในขณะที่พรรคก้าวไกลและเพื่อไทยได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนทั่วประเทศรวมเกือบ 25 ล้านคน
ข้อความนี้ฝากไปถึงทุนใหญ่ผูกขาดที่เคยสนับสนุนกลุ่มอำนาจเดิม และอำนาจรัฐราชการพันลึกที่เป็นฝ่ายจารีตนิยมด้วย ว่าการจะใช้กระบวนการทางกฎหมายหรืออำนาจอื่นใดหักหาญอำนาจสูงสุดที่ประชาชนได้แสดงออกมาผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ท่านและครอบครัวจะเป็นที่ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรืออาฆาตมาดร้ายเพียงใด
สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงรอบนี้รุนแรงและชัดเจนยิ่งนัก ถ้าสร้างกังหันไม่ไหว อย่างน้อยก็ควรหาที่ยืนอย่างสงบหลบสายลม
กล้า สมุทวณิช