แฟลชสปีช : ท่านจะชนะไปเพื่ออะไร

แฟลชสปีช : ท่านจะชนะไปเพื่ออะไร

ไทยเราเดินมาถึงจุดที่ต้องพิสูจน์ว่า “อำนาจประชาชนมีพลังพอจะกำหนดความเป็นไปประเทศหรือไม่”

ผลการเลือกตั้งชัดเจนว่า การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว

กว่า “70%” เลือก “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” เหลือไม่เกิน “30%” ที่เลือก “อนุรักษนิยมสืบทอดอำนาจ”

Advertisement

ชัดๆ กว่านั้นคือ ประชาชนส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้กับ “คนรุ่นใหม่ หนุ่ม สาว” มากกว่าคิดปล่อยอนาคตไว้ในมือ “คนรุ่นเก่า”

ผลการเลือกตั้งชัดเจนแบบนั้น

และ “คนหนุ่มคนสาว” แสดงให้เห็นแล้วว่าความรู้ ความสามารถ ความตั้งใจ ความตื่นตัวที่จะนำพาประเทศให้พัฒนาสู่ความรุ่งเรื่องอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมจะนำประเทศไทยสู่อนาคตที่หวังได้ในความสดใส ไม่ใช่ผู้นำที่ดูเป็นตัวตลกในเวทีโลก และน่าหวาดผวาจะก้าวไม่ทันพัฒนาการของประเทศเพื่อนบ้านเหมือนที่ผ่านมา

Advertisement

ทว่า “อำนาจเก่า” ที่ทำใจไม่ได้ กลับสร้างปัญหามากมาย ไม่ยอมให้ “อำนาจประชาชน” มีบทบาทในการนำพาประเทศ

“พรรคก้าวไกล” และ “พรรคเพื่อไทย” รวบรวม ส.ส.จากพรรคการเมือง “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” ได้แล้ว 310 เสียง เกินครึ่งไปมาก จนเสี่ยงต่อการถูกตั้งเป้าโจมตีว่าเป็น “เผด็จการรัฐสภา” ด้วยซ้ำ หาก “ก้าวไกล” กับ “เพื่อไทย” ไม่มีเสียงที่ใกล้เคียงกันจนสามารถคานอำนาจการนำได้ หากมีประเด็นที่อ่อนไหว

พรรคก้าวไกลไม่ใช่พรรคเสียงข้างมากในรัฐบาล หากแต่ “เพื่อไทย 141+ประชาชาติ 9+ไทยสร้างไทย 6+เสรีรวมไทย 1” จะเท่ากับ 157 เสียง มากกว่า “ก้าวไกล 152+เป็นธรรม 1+พลังสังคมใหม่+1 เพื่อไทรวมพลัง 2” ที่เท่ากับ 156 เสียง

ยังไม่รวมถึงความยืดหยุ่น และความสามารถของพรรคเพื่อไทยในการดึงหรือร่วมมือกับพรรคฝั่งตรงกันข้าม มีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น “ภูมิใจไทย” หรือ ส.ส.บางส่วนของ “พลังประชารัฐ” ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนหน้านั้น หรือกระทั่ง “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่เคยเป็นพันธมิตรร่วมกันมา

ทั้งที่การคานและฉุดรั้ง “คนหนุ่มคนสาว” ไม่ให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจนั้น ทำได้ไม่ยากเย็น

แต่กลายเป็นว่ากลไกอำนาจที่ถูกออกแบบไว้เพื่อ “แช่แข็งประเทศ” กลับเอาแต่มองข้ามความเป็นจริงนี้

เอาแต่แสดงอำนาจของตัวเอง จนมองไม่เห็นความต้องการเปลี่ยนแปลงของ “อำนาจประชาชน”

313 เสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถูกท้าทายจาก ส.ว.ว่าจะไม่สนับสนุนให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตของคนหนุ่ม คนสาวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยข้ออ้างมากมาย

พากันมองข้ามหรือพยายามไม่มองว่าตลอดการอาสาเข้ามาทำงานการเมืองนั้น “พิธา” แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะ ถึงความรู้ ความคิด ความสามารถ ว่าเหนือกว่า “คนในกลุ่มอำนาจเก่า” ที่พวกเขาปรารถนาให้เป็น “ผู้นำประเทศต่อ” มากมาย

เพียงเพื่ออะไรสักอย่าง โดยพยายามเบี่ยงเบนการปฏิเสธอำนาจประชาชนไปเป็นประเด็นอื่นที่ให้ภาพความรักชาติ แบบไม่ยอมฟังคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลของคนอื่น

อะไรสักอย่างที่ซ่อนอยู่ในใจ และคิดว่าไม่มีคนเห็น

คำถามคือว่า เมื่อประชาชนส่วนใหญ่วาดหวังได้เห็นผู้ที่จะนำพาอนาคตที่ดีมาให้ประเทศชาติ พวกเขาเห็นและตัดสินใจแล้วว่าจะมอบภารกิจนั้นให้กับใคร

เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งที่ “แช่แข็งความคิด” ไว้กับความหวั่นวิตกกับสถานะของตัวเองที่อาจจะต้องเปลี่ยนไป พยายามฉุดรั้งความคิด ความหวังของอำนาจประชาชน

ด้วยวิธีการที่ไม่มีทางเลยที่ “อำนาจประชาชน” จะยอมรับ

ที่สุดแล้วการใช้อำนาจที่ฝืน “อำนาจประชาชน” อาจจะได้ผล “ขบวนการสืบทอดอำนาจ” อาจได้รับชัยชนะ

แต่นั่นก็ยังเป็นแค่ “เริ่มต้นอีกครั้ง” ของ “เกมอำนาจ” อยู่ดี

เคยถามตัวเองหรือไม่ว่า “ยังเหลือชีวิตอยู่กี่วัน อนาคตประเทศควรจะเป็นของใคร”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image