ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ก็เคยบอกไว้แล้วว่า พลันที่ “ร่าง” รัฐธรรมนูญปรากฏขึ้น นับแต่วันที่ 29 มกราคมเป็นต้นมา “ปัจจัย” ต่างๆ ในทางการเมืองก็เริ่มแปรเปลี่ยน เป็นไปตาม “กฎ”
หากมองด้วยสายตาของ “นักเคมี” การประกาศ “ร่าง” รัฐธรรมนูญเท่ากับได้เกิด “องค์ประกอบ” อย่างใหม่ขึ้นมาภายใน “สิ่ง”
องค์ประกอบอย่าง “ใหม่” นี่แหละที่นำไปสู่การ “แปรเปลี่ยน”
หากมองด้วยสายตาของ “นักอุตุนิยม วิทยา” การประกาศ “ร่าง” รัฐธรรมนูญเท่ากับว่ามีแรงกระทบแรงเสียดทานภายในการไหวเคลื่อนของดินฟ้าอากาศ
แม้จะเสมอเป็นเพียงร่าง “เบื้องต้น” แม้จะเสมอเป็นเพียงร่าง “แรก”
แต่ที่ติดตามมาอย่างฉับพลันทันใดก็คือ กระหึ่มแห่งความเห็น กระหึ่มแห่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกคักและกว้างขวาง
สิ่งที่จับตากันก้าวต่อไปก็คือ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง การแก้ไขหรือไม่
คำถามอันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติก็คือ จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เปลี่ยนในทาง “เนื้อหา” หรือเสมอเป็นเพียงการเปลี่ยนในแบบอันเรียกว่า “ปะผุ”
ไม่แตะไปยัง “แก่นแกน” ไม่ล่วงล้ำเข้าสู่ “กล่องดวงใจ”
ปราชญ์ทางการเมืองเคยเปรียบเทียบเอาไว้อย่างคมคายเป็นเวลากว่า 50 ปี มาแล้วด้วยประโยคง่ายๆ ติดหู ติดปากชาวบ้านว่า
“ฤดูกาล” เปลี่ยน “เสื้อผ้า” ก็ต้องเปลี่ยน
หากวสันตฤดูย่างกรายมาก็ต้องตระเตรียมร่ม ตระเตรียมเสื้อกันฝน ตระเตรียมยาแก้หวัด ยาแก้ไอ เอาไว้ให้พร้อมสรรพ
หากคิมหันตฤดูอย่างกรายมาก็ต้องเตรียมเสื้อผ้าบาง-บาง
เช่นเดียวกับหากเป็นเหมันตฤดูมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนต้องตระเตรียมเสื้อกันหนาว อาจเป็นเสื้อกั๊ก อาจเป็นเสื้อนวม
จะหลับนอนก็ต้องมี “ผ้าห่ม” หนา-หนา
นั่นเป็นเรื่องของ “ธรรมชาติ” แต่ที่แน่นอนอย่างที่สุดก็คือ จำเป็นต้องมี “การปรับตัว” ให้เหมาะสมกับสภาพของสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
หากบริหารจัดการไม่ดีก็อาจเกิด “อาการ” ไม่สบาย
ธรรมชาติเป็นเช่นนั้น การเมืองก็เป็นเช่นเดียวกัน ฤดูกาลทางการเมืองดำเนินไปอย่างมีพลวัต มีการเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลง จำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละองคาพยพจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพ ทำตัวให้เหมาะสมและสอดรับกับบรรยากาศ
เหมือนกับ “บรรยากาศ” แห่งการวิเคราะห์ “รัฐธรรมนูญ”
หากดูจากท่วงท่าและอากัปกิริยาของ คสช. ของรัฐบาล และโดยเฉพาะของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือ กรธ.
คล้ายกับมิได้มองว่า “ร่าง” รัฐธรรมนูญเป็น “องค์ประกอบ” อย่างใหม่
นั่นก็สัมผัสได้จาก คสช.ยังยืนยันในคำสั่งห้ามการชุมนุมเกิน 5 คน นั่นก็สัมผัสได้จากที่รัฐบาลส่งกำลังทหาร กำลังตำรวจเข้าไปจัดการระงับยับยั้ง
ไม่ว่าจะเป็นที่ “อำนาจเจริญ” ไม่ว่าจะเป็นที่ “สนามศุภชลาศัย”
ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุด เป็นการวางหลัก วางกติกาในการปกครองชาติบ้านเมือง แต่เมื่อจะประกาศและบังคับใช้
กลับไม่ยอมให้มี “การวิเคราะห์” กลับไม่ยอมให้มี “การสังเคราะห์”
พรรคการเมืองจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถเรียกประชุมสมาชิกพรรค ไม่สามารถนำเอาตัว “ร่าง” เข้าพิจารณาร่วมกัน
จึงเห็นแต่การพูด “ข้างเดียว” จากฝ่าย “กรธ.”
จึงเห็นแต่การเคลื่อนไหวของ “หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน” (นรด.) จึงเห็นแต่การเคลื่อนไหวของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)
แสดงแต่ด้านที่ “ล้ำเลิศ” แสดงแต่ด้านที่ “ดีงาม”
ขณะเดียวกันก็อุดหู ปิดตา และกั้นก้านสมองของประชาชน ของชาวบ้าน ด้วยอำนาจแห่ง “ปืน” มิให้มีการวิพากษ์วิจารณ์
ถามว่าใน “ความเป็นจริง” สามารถเคลื่อนไหวด้านเดียว ฝ่ายเดียว แบบที่ คสช.และรัฐบาลทำอยู่ได้หรือไม่
คำตอบก็คือ สามารถ “ทำได้” แต่คำถามอันตามมาอย่างฉับพลันทันใดก็คือ องอาจหรือไม่ สง่างามหรือไม่ ในบรรยากาศที่โหยหาประชาธิปไตย ในความเป็นจริงที่ปัจจัยภายในสังคมกำลังเปลี่ยน
ณ ที่ใดมี “แรงกด” ณ ที่นั้นย่อมเกิด “แรงต้าน” นี่คือกฎ นี่คือความเป็นจริง