ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
หากในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 นั้น กกต.ใช้เวลาในการรับรองผลการเลือกตั้งแล้วเสร็จทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อโดยใช้เวลาไปถึง 45 วัน นับจากวันที่ 24 มีนาคม-8 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นไปก่อนครบเวลาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 85 วรรคสี่ ที่วางกรอบไว้ว่าให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อพิจารณาแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของเขตเลือกตั้งทั้งหมดภายใน 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง
กระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่า ในครั้งนั้นเป็นการเลือกตั้งที่ใช้ระบบสัดส่วนผสม ที่แม้เลือกตั้งไปแล้วเห็นผลคะแนนออกมา กลับปรากฏว่าทาง กกต.เองก็ไม่ได้มีความชัดเจนว่าจะคำนวณคะแนนว่าพรรคใดจะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวนเท่าใดอยู่เป็นเดือน ถึงขนาดต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากในการเลือกตั้งครั้งนี้ การคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแบบบัตรเลือกตั้งสองใบนั้นตรงไปตรงมาไม่มีเรื่องยุ่งยากอะไร ถ้าจะใช้เวลาเต็มตามที่รัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่ 45 วันเท่าเดิม ก็ไม่ถือว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมาย หรือตกเกณฑ์มาตรฐานเดิมอะไร เพียงแต่มันก็ออกจะเข้าใจยากเกินไปเท่านั้น
ช่วงเวลาระหว่างการเลือกตั้งเสร็จไปจนถึงการรับรองผลการเลือกตั้งนี้ หากทอดเวลานานเกินไปก็ทำให้หลายฝ่ายเริ่มเกรง (หรือบ้างก็แอบมีความหวัง) กันว่า เท่ากับระยะเวลาแห่งความไม่แน่นอนและการต่อรองต่างๆ หรือเหตุแทรกแซงอันไม่คาดฝันนั้นก็อาจเกิดขึ้นได้ตลอดระยะเวลานี้ ซึ่งจะทำให้ผู้ชนะการเลือกตั้งคือพรรคก้าวไกลที่จับขั้วจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ตรงกันได้แล้วนั้นออกจะเสียเปรียบได้
นอกจากนี้ ในระยะเวลาช่องว่างนี้ก็ยังส่งผลให้นโยบายต่างๆ ที่พรรคก้าวไกลรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลเคยหาเสียงไว้ก็ถูกนำมาวิเคราะห์วิจารณ์ หรือค่อนแคะกันได้ละเอียดลออยิ่งขึ้น รวมไปถึงกรณีของตัวบุคคลที่ถูกวางไว้สำหรับตำแหน่งต่างๆ ด้วย เช่น กรณีข้อวิพากษ์เรื่องความเหมาะสมของ ศิริกัญญา ตันสกุล (หรือที่ชาวส้มนิยมเรียก “คูมไหม”) ผู้ถูกวางตัวให้เป็น รมว.การคลัง
ถึงกระนั้น พรรคก้าวไกลก็รับมือกับช่วงเวลาแห่งช่องว่างนี้ได้ดีจนกลับกลายเป็นการพลิกบรรยากาศอันชวนอึดอัดให้เป็นโอกาสได้ด้วย ซึ่งเป็นเหมือนการทำตลาดแบบ “หนังตัวอย่าง” ก่อนหนังฉายที่เฉียบคมแยบยลยิ่ง
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญของ ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เป็นคือการปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของ “พี่ยุทธ” สรยุทธ สุทัศนะจินดา กับ “น้องไบรท์” พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ตามด้วยรายการคุยนอกจอทางสื่อโซเชียลหลังจากหมดเวลาของรายการทางโทรทัศน์แล้ว (ซึ่งเอาเข้าจริงรายการหลังนี้ต่างหากที่กลายเป็นไฮไลต์)
การให้สัมภาษณ์ตามสไตล์ที่นุ่มนวลแต่ชัดเจนตรงไปตรงมานั้นอาจจะเป็นเรื่องที่คาดหมายได้สำหรับผู้ติดตาม หรือเคยฟังเขาออกรายการให้สัมภาษณ์ แต่ที่ทำให้แฟนคลับด้อมส้มถึงแก่อาการใจบางม้วนต้วนไปตามๆ กัน คือการออกมาชวน “พี่ยุทธ” กับ “น้องไบรท์” เต้น และร้องเพลงเล่นกีตาร์สดๆ กันในรายการอย่างเป็นกันเองและเป็นธรรมชาติ
อย่างที่ว่าต่อให้ใครที่ไม่ได้ชื่นชมอะไรเขามากนักก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่พวกที่มีอคติระดับหูหนาตาเร่อจนเกินไปก็ออกจะรู้สึกดี หรือยิ้มไปด้วยอย่างอดไม่ได้ ที่เรากำลังจะมีนายกรัฐมนตรีที่ดูดี อ่อนโยน เป็นมิตร และมีไลฟ์สไตล์แบบที่ไม่แตกต่างจากคนทั่วไปในระดับเดียวกันมากนัก ด้วยว่าจะเป็นนายกฯคนแรกที่เป็นแฟนหนังสือของ ฮารูกิ มูราคามิ และวรรณกรรมไทยของสำนักพิมพ์เล็กๆ ดื่มสุราพื้นบ้านไทยอย่างหลากหลาย กิน “ซอยจุ๊” อาหารอีสานจากเนื้อวัวดิบจิ้มแจ่วอย่างโปรดปราน
ส่วนการ “ฉายหนังตัวอย่าง” ของ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้แก่ การออกมาเปิดโปงส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก ที่เกิดขึ้นจากการรับฟังปัญหาของสมาคมขนส่งทางบกนั้น ก็สร้างความฮือฮามาก่อนที่คุณพิธาจะไปออกรายการเรื่องเล่าเช้านี้อยู่เล็กน้อย
มีผู้เรียกบทบาทของเขาไว้อย่างน่าสนใจว่า คุณวิโรจน์ทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้าน” ที่กำลังจะเป็น “รัฐบาล” ซึ่งเป็นบทบาทที่ออกจะแปลกอยู่ เพราะการเปิดโปงส่วยสติ๊กเกอร์ของเขานั้น ไม่ผิดจากการทำงานเป็น “ฝ่ายค้าน” ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของหน่วยงานของรัฐ แต่เป็นการทำหน้าที่ “ฝ่ายค้าน” ในขณะที่พรรคของเขานั้นกำลังจะได้เป็นรัฐบาล และคาดหมายได้ว่าตัวเขาเองก็น่าจะได้รับตำแหน่งใหญ่ที่จะมีหน้าที่และอำนาจในการบังคับบัญชาและกำกับดูแลหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในขณะนี้ด้วย
การทำหน้าที่ “ค้าน” ของวิโรจน์จึงเป็นการ “เสนอ” และให้สัญญาไปในตัวด้วยว่า ปัญหาในเรื่องนี้จะได้รับการจัดการปัดเป่าในทันทีตั้งแต่วันแรกที่เขาและรัฐบาลที่เข้าสู่อำนาจรัฐได้เต็มตัว การเป็น “ฝ่ายค้านที่กำลังจะได้เป็นรัฐบาล” จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสมัยที่เป็นฝ่ายค้านในสภา ที่อาจจะทำได้เพียงการเปิดโปงเพื่อชี้ให้รัฐบาลที่มีอำนาจนั้นแก้ปัญหา หรือฟ้องให้ประชาชนได้เห็นปัญหานั้น และอีกนัยหนึ่งสิ่งที่คุณวิโรจน์แสดงบทบาทในการ “ค้าน” นั้น ก็คือการ “ค้าน” ในสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นผลมาจากการบริหารราชการหรือการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดที่แล้ว หรืออาจจะรวมไปถึงระบบระบอบแห่งอำนาจที่ปล่อยปละละเลยอันเป็นที่มาของปัญหานี้ด้วย
และก็ยังมี “หนังตัวอย่าง” ที่ได้ไปฉายให้นักธุรกิจ สภาอุตสาหกรรม ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นและข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ตามที่มีโอกาส ทั้งที่เสนอตัวเอง หรือถูกเชิญไป นั้นแม้อาจจะดูไม่ได้มีผลต่อความนิยมอะไรขนาดนั้น แต่ก็ส่งผลสะเทือนจากเบื้องลึกเบื้องใต้ โดยเฉพาะการทำงานกับข้าราชการประจำต่อไปในอนาคต ที่แม้ว่ายุคของรัฐบาลและผู้ถืออำนาจที่ผ่านมา “ข้าราชการ” และ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ดูเหมือนจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมที่ได้ประโยชน์ที่สุด หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรนักจากการบริหารประเทศ แต่ก็มียังปรากฏว่าข้าราชการในระบบหลายคนก็เป็นกลุ่มที่เลือกพรรคก้าวไกล ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรถ้าพิจารณาจากคะแนนที่พรรคนี้ได้รับจากการเลือกตั้ง
ข้าราชการกลุ่มนี้เลือกหรือสนับสนุนพรรคก้าวไกล คือข้าราชการที่ตั้งใจทำงานจริงๆ หรืออยากจะให้งานของตนนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน แต่ติดขัดอุปสรรคสำคัญ คือ รัฐบาลและขั้วอำนาจเก่า พวกเขาหลายคนรู้สึกว่าฝ่ายที่มีอำนาจที่ผ่านมานั้นมุ่งเน้นแต่การสร้างสมอำนาจของตัวเอง ดึงเอาทรัพยากรและโอกาสต่างๆ ไว้เพื่อความได้เปรียบแก่ฝ่ายตนหรือผู้ที่สยบยอม “อยู่เป็น” และสร้างเครือข่ายต่อท่อผลประโยชน์กับกลุ่มทุนและอำนาจอื่นๆ เกี่ยวข้องด้วย
ข้าราชการที่ได้พบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวบางท่านแอบกระซิบให้ฟังอย่างสะใจว่า แนวทางการทำนโยบายงบประมาณแบบฐานศูนย์ (Zero-based budgeting) ของพรรคก้าวไกล น่าจะช่วยกำจัดโครงการที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร หน่วยงาน หรือประชาชน หากเป็นไปเพียงเพื่อเอื้อประโยชน์และประสานกระชับเครือข่ายกันเองของฝ่ายที่ใกล้ชิดอำนาจ ที่เคยได้งบประมาณมาอย่างต่อเนื่องเพราะขอกันมาและล็อบบี้กันมาได้ทุกปีน่าจะถึงแก่การจบสิ้นลงในยุคสมัยนี้
การ “ฉายหนังตัวอย่าง” นี้ยังรวมไปถึงการทำงานแบบลงพื้นที่ของว่าที่ ส.ส.ก้าวไกลในระดับเขต ที่เข้าไปแก้ปัญหาเป็นตัวแทนของชาวบ้านในการร้องเรียนหรือแจ้งปัญหาความติดขัดเดือดร้อนต่อทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือท้องถิ่น ก็เป็นการทำงานที่เป็นมิติใหม่ของพรรคก้าวไกลเองที่เคยมองว่าบทบาทของ ส.ส.คือการทำงานระดับชาติในทางนิติบัญญัติและตรวจสอบฝ่ายบริหาร แต่น่าจะเป็นเพราะประสบการณ์ในการเข้าสู่การเมืองในสมัยที่แล้ว สอนให้พวกเขาได้รับรู้ถึงบทบาทของ “ผู้แทนราษฎร” ในความคาดหวังของประชาชนที่อาจจะไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือทฤษฎีใด
“หนังตัวอย่าง” ที่ได้ยกเป็นตัวอย่างไปข้างต้น และน่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จึงส่งผลให้ยิ่ง กกต.ทอดยาวระยะเวลาในการรับรองผลการเลือกตั้งออกไปเท่าใด ก็ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งทิม พิธา และพรรคก้าวไกลนั้น ได้ฉาย “หนังตัวอย่าง” แห่งความหวังและความฝันนี้ให้แก่ผู้คนหลากภาคหลายส่วนมากขึ้นไปเท่านั้น
“หนังตัวอย่าง” ของพิธาและพรรคก้าวไกลจะทำให้คนเชื่อและมีความหวังกันอย่างเป็นรูปธรรมว่า ประเทศนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด สิ่งที่เป็นปัญหาค้างคาหรือเคยแก้ไขไม่ได้ หรือไม่พยายามแก้ไขนั้นกำลังจะได้รับการจัดการอย่างไร รวมถึงเราจะได้มีนายกรัฐมนตรีแบบไหน
ที่สำคัญ “หนังตัวอย่าง” เรื่อง “ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” นี้กำลังฉายนำก่อนที่ภาพยนตร์ฉบับจริงเต็มเรื่องกำลังจะมาเข้าโรงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
การ “ฉายหนังตัวอย่าง” นี้จึงไปลงน้ำหนักกับฝ่ายสมาชิกวุฒิสภาให้ตระหนักด้วยว่า ถ้าพวกเขาซึ่งมีจำนวนเพียงสองร้อยกว่าคนจะมาปฏิเสธว่า ความหวังและความฝันอันชอบธรรมของพวกเขาที่ประชาชนมีโอกาสได้ดูจาก “หนังตัวอย่าง” ไปนั้นจะไม่ได้ฉายจริง เราจะไม่ได้เห็นชายที่คุ้นหน้าคุ้นตาที่ร้องเพลงและเล่นกีตาร์ในรายการพี่ยุทธได้เป็นนายกรัฐมนตรี และสำหรับผู้ประกอบการขนส่งก็เตรียมไปหาสติ๊กเกอร์ลายใหม่เดือนใหม่มาติดเหมือนเดิม ด้วยราคาส่วยที่อาจจะแพงขึ้น
การฉีกกระชากความรู้สึกและความหวังของประชาชนที่ถูกแสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดขนาดนี้จะส่งผลอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ที่ ส.ว.บางรายกล่าวอ้างว่า มีผู้คนที่ไม่ยอมรับในตัวพิธาและแนวทางของพรรคก้าวไกลกันระดับที่จะทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟนั้นก็ออกจะเหลวไหล เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผลการเลือกตั้งก็ไม่น่าจะออกมาอย่างที่เห็น พรรคที่ชูแนวทางอำนาจนิยมขวาจัดอย่างพรรคที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีน่าจะได้ที่นั่งมากกว่าหรือสูสีกันมากกว่านี้ และพรรคที่สุดโต่งไปเลยของฝั่งนั้นก็ควรจะได้ที่นั่งในสภาบ้าง ไม่ใช่สอบตกกันยกพรรคแบบนี้ ตัวเลขไม่โกหกใคร และตัวเลขนั้นตะโกนบอกเราว่า โดยธรรมชาติตามปกติแล้วเป็นไปไม่ได้หรอกที่แผ่นดินจะลุกเป็นไฟด้วยจำนวนคนเพียงเท่านั้น
ขอย้ำอีกครั้งสุดท้ายนี้ว่า การ “ปิดสวิตช์” ส.ว.ที่ถูกต้องคือ การที่พวกท่านแต่ละคนต้องทำให้สิ่งที่บัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย เพราะเสียงของ ส.ว.นั้นจะไม่มีส่วนในการเลือกตัวผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นคือการออกเสียงของวุฒิสภานั้นจะต้องเป็นไปในลักษณะเดียวกันตามเสียงข้างมากที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเลือกมาแล้วว่าจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี
เรื่องนี้หากใครทำใจไม่ได้จริง ก็กรุณาลาออกเสียก่อนวันประชุมเลือกนายกฯ ก็อาจจะดีสำหรับทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานและผู้ร่วมใช้นามสกุล และจะต้องใช้นามสกุลต่อจากท่านในอนาคต
กล้า สมุทวณิช