คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : เพราะท่านจะไม่รู้จริงๆ ว่ากำลังสู้กับใคร

วันที่คอลัมน์นี้เผยแพร่ (พุธ 14 มิถุนายน 2566) ก็เป็นวันที่ครบเดือนชนเดือนจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 เดือนที่แล้วแบบพอดีๆ โดยที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ยังไม่มีการรับรอง ส..อย่างเป็นทางการแม้แต่คนเดียว 

ทว่าความคืบหน้าที่ดูเป็นเนื้อเป็นหนังในสัปดาห์ที่แล้ว คือความพยายามขัดขวางเส้นทางของทิมพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เข้าสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีตามกติกา ที่อาจรวมถึงการขัดขวางไม่ให้พรรคก้าวไกลเข้าสู่อำนาจเป็นรัฐบาลด้วย 

เริ่มที่ กกต.ออกมาประกาศฟ้าผ่าเมื่อเห็นวันศุกร์ที่แล้ว แถลงว่ายกคำร้องที่บุคคลต่างๆ ยื่นเข้ามาเพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติการสมัคร ส..ของพิธา ทั้ง 3 คำร้อง เนื่องจากยื่นมาเกินระยะเวลาที่จะสั่งรับคำร้องได้ตามระเบียบ แต่กลับยกเอารายละเอียดข้อเท็จจริงจากคำร้องที่ยกไปนั้น ใช้เป็นข้อมูลเพื่อสืบสวนไต่สวนว่าพิธาจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส..มาตรา 151 กรณีบุคคลมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งและรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามแต่ยังสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาในคดีอาญาที่เป็นความผิด มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี ปรับสองหมื่นถึงสองแสนบาท ให้ศาลอาจสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งถึงยี่สิบปี

เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายพรรคการเมืองที่แพ้การเลือกตั้งและผู้สนับสนุนเหมือนจะมีหวัง แห่กันออกมาขว้างปาวาทกรรมเรื่องต่อให้เป็นเสียงข้างมากแต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายอีกครั้ง โดยพยายามชี้ว่านี่คือกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมายที่ถ้าผิดกฎหมาย มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญก็ถือว่าผิดโดยไม่เกี่ยวกับว่าจะชนะการเลือกตั้งมาเท่าไร ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการไม่ยอมรับเสียงข้างมาก

Advertisement

แต่ถ้าใครไม่ได้แกล้งบิดเบือนหลักการและกฎหมายหรือมืดบอดระดับหูหนาตาเร่อ มีความเป็นวิญญูชนอยู่บ้างก็คงมองเห็นได้ว่าเรื่องนี้แทบไม่ใช่ข้อโต้แย้งทางกฎหมาย แต่เป็นความพยายามสรรหาช่องทางที่จะมาเล่นงานกันอย่างผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติของกระบวนการนี้กันได้อย่างชัดเจน

ตั้งแต่แปลกแรกคือ ทำไม กกต.เลือกดำเนินการเพื่อเอาผิดในคดีอาญานี้ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า การถือหุ้นไอทีวีในฐานะผู้จัดการมรดกของพิธาตามที่มีผู้มายื่นคำร้องให้ตรวจสอบนั้น ถือเป็นลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง ส..หรือไม่ ซึ่งเป็นกระบวนการขั้นตอนที่แตกต่างจากกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่โดนกรณีลักษณะนี้ไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 

โดยครั้งนั้น กกต.ได้รอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วว่ากรณีการถือหุ้นในบริษัท วีลัค มีเดีย ของเขาถือเป็นการประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดอันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) แล้วจึงเริ่มดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 ต่อธนาธร ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จอันใดเนื่องจากอัยการสูงสุดมีคำสั่งถึงที่สุดไม่ฟ้องคดีต่อศาล เนื่องจากหลักฐานไม่พอพิสูจน์ที่จะลงโทษในความผิดอาญาได้

Advertisement

เรื่องผิดปกติต่อมา คือความพยายามคืนชีพให้ไอทีวีซึ่งเลิกประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์ไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เลิกสัญญาเข้าร่วมงานและเรียกคืนใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ไปหมดแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีความพยายามรื้อฟื้นขึ้นมาให้กลับมาประกอบกิจการเป็นสื่อให้ได้ ขนาดไปแก้ประเภทธุรกิจ หาทางให้ไปรับงานสื่อประเภทอื่นให้เป็นบริษัทที่มีสินค้าและบริการเป็นสื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุนให้ได้ 

ทว่าในที่สุดก็เกิดรายการโป๊ะแตกเข้าสดๆ ร้อนๆ ในคืนวันอาทิตย์ที่ 12 โดยทีมข่าว 3มิติเปิดเผยคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทไอทีวีที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับเอกสารบันทึกการประชุมที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ ที่อ้างว่ามีผู้ถือหุ้นถามว่า ทางบริษัท ยังดำเนินกิจการสื่ออยู่หรือไม่ และได้รับคำตอบว่า ยังดำเนินธุรกิจ (สื่อ) อยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท 

แต่เมื่อนำคลิปวิดิโอดังกล่าวมาเปิดเทียบ กับปรากฏว่าเสียงในคลิปกับรายงานการประชุมที่แจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าไม่ตรงกัน ซึ่งเสียงในคลิปตอบว่า ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อรอผลคดีความให้สิ้นสุด ทั้งยังปรากฏพิรุธว่ามีการลบไฟล์คลิปการประชุมนี้ออกภายหลัง แต่ก็มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งบันทึกเอาไว้ได้ และสำเนาคลิปนี้ให้คุณแยมฐปณีย์ เอียดศรีไชย นำหลักฐานชิ้นนี้มาเปิดเผย 

จนกลายเป็นเรื่องว่า ผู้ลงนามรับรองบันทึกการประชุม ผู้บันทึก หรือผู้แก้ไข อาจจะมีความเสี่ยงคดีอาญาทั้งตามประมวลกฎหมายอาญาและในความผิดตาม พ...บริษัทมหาชนจำกัด ส่วนคนนำเอกสารที่น่าจะเป็นเท็จไปร้องเรียนต่อ กกต. ก็อาจมีความผิดตาม พ...ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส..มาตรา 143 ฐานกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อแกล้งให้ผู้สมัคร ส.. ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกรณีที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งยี่สิบปีไปแทน

อีกทั้งเมื่อเรื่องพลิกออกมาเป็นเช่นนี้ น้ำหนักการแบกรับความเสี่ยงอีกด้านก็ตกกลับไปสู่ฝ่าย กกต. ที่จะต้องตัดสินใจว่าจะยังนำเอาหลักฐานและข้อกล่าวหาที่ชัดเจนว่ามีข้อพิรุธและชัดเจนว่าเป็นการอ้างความเท็จเพื่อใส่ร้าย มาดำเนินคดีอาญาหรือทางรัฐธรรมนูญกับว่าที่นายกฯ ของพรรคก้าวไกลอยู่หรือไม่ 

มหากาพย์ข้อกล่าวหาเรื่องหุ้นไอทีวีนี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่า ในเบื้องหลังเบื้องลึก ยังผู้ที่ได้ประโยชน์จากการปกครองในระบบระบอบสืบทอดอำนาจรัฐประหารที่ครองประเทศมายาวนาน พยายามขัดขวางมิให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย 

อย่างที่พี่ตุ้มสรกล อดุลยานนท์ ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่มีอำนาจสูงขนาดที่สามารถสั่งให้เลขานุการบริษัทเปลี่ยนคำในบันทึกการประชุมจากขาวเป็นดำเพื่อมัดพิธาว่าไอทีวียังทำธุรกิจสื่ออยู่ และมีอำนาจที่สั่งให้ประธานในที่ประชุมยอมเซ็นรับรองเอกสารชิ้นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเกลียดหรือโกรธพิธาเป็นการส่วนตัว ก็อาจจะต้องเดือดร้อนมากหากเขาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งผู้เคยได้ประโยชน์และอาจจะเดือดร้อนถ้าการเมืองพลิกขั้วนี้ มีตั้งแต่กลุ่มทุนใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากการสร้างบรรยากาศแห่งการผูกขาดอย่างไร้คู่แข่ง พวกเขาเพียงจ่ายค่าเช่าหรือค่าต๋งให้แก่ฝ่ายผู้ครองอำนาจที่ตัวเองเจรจาต่อรองได้ ก็สามารถรักษาสภาพความได้เปรียบทางธุรกิจต่อไปได้โดยไม่ต้องยำเกรงใจประชาชน หรือกังวลเรื่องการค้าแข่งใดๆ 

รวมถึงกลุ่มอำนาจในแวดวงราชการที่สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์โยงใยกันแนบแน่นแบบข้ามองค์อำนาจ และเอื้อประโยชน์อุปถัมภ์กันไปมาแบบผลัดกันเกาหลัง ลงไปถึงเจ้าหน้าที่ตัวเล็กตัวน้อยผู้อยู่เป็นและรู้วิธีหาประโยชน์เสียแล้วในระบบระบอบเช่นนี้ ลงไปยังหน่วยเล็กที่สุด คือ ระดับเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างที่ทำปฏิบัติการจิตวิทยาด้วยข้อมูลข่าวสาร หรือพวก IO ที่รับงานลดทอนขวัญ ทำลายกำลังใจ กับช่วยกล่อมสร้างกำลังใจให้ผู้คนในฝั่งฝ่ายเดียวกัน 

เครือข่ายผู้คนเหล่านี้รู้ตัวว่าจะอยู่ได้ยาก หรือถึงกับอยู่ไม่ได้เลย หากทิม พิธา ได้เป็นนายกฯ และพรรคก้าวไกลและพรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้เป็นรัฐบาล 

การเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของขบวนการกล่าวหาพิธาเรื่องหุ้นไอทีวีนี้ มีเรื่องน่าสนใจอีกประการหนึ่งว่านอกจากจะเป็นการทำงานร่วมกันของอดีตคนทำงานไอทีวีซึ่งเจ็บปวดที่องค์กรที่เขาเคยทำงานด้วยความรักและภูมิใจ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งทางการเมือง ประกอบกับคลิปหลักฐาน ซึ่งมีหนึ่งในผู้ถือหุ้นของไอทีวี บันทึกเอาไว้ได้และส่งมาให้

คือคนกลุ่มที่เรียกว่านาตาชาอันหมายถึงบรรดาผู้คนในฝั่งประชาธิปไตยที่อยู่ในกลไก หรือฐานอำนาจอีกฝ่ายหนึ่งที่ออกมาเอาใจช่วยและพยายามทำทุกสิ่งเท่าที่ทำได้ รวมถึงการส่งข้อมูลหรือให้คำแนะนำแก่พรรคก้าวไกลเมื่อมีโอกาส เป็นผู้คนที่เหลืออดกับการละเมิดเจตจำนงของประชาชน และการใช้อำนาจอย่างไร้คุณธรรม ขาดความรับผิดชอบ และหยาบคายกักขฬะจนส่งผลให้เป็นระบบราชการและการใช้อำนาจรัฐง่อยเปลี้ย ขาดประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่นและการเลือกปฏิบัติเช่นนั้น 

บทเรียนเรื่องนี้น่าจะทำให้ฝ่ายที่ทำท่าจะไม่ยอมปล่อยวางส่งคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตระหนักว่า พวกเขากำลังเผชิญหน้า กับประชาชนผู้แสดงฉันทามติผ่านการเลือกตั้งครั้งสำคัญอันสะท้อนเจตจำนงของมหาชนได้ชัดเจนที่สุดแล้ว 

เพราะผู้คนที่เลือกพรรคก้าวไกล และต้องรวมถึงพรรคเพื่อไทยที่ถือเป็นสองพรรคหลักของฝั่งประชาธิปไตยนั้นมีทั้งผู้คนชาวกรุงเทพมหานครและในตัวเมืองจังหวัดใหญ่ หรือแม้แต่ในบางเขตพื้นที่ชนบทก็ปรากฏว่าถ้าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยหากไม่ชนะในระดับ ส..เขต ก็ชนะคะแนนปาร์ตี้ลิสต์กันแบบสองพรรครวมกันแล้วถล่มทลาย 

ถ้าเคยมีทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยอธิบายว่า เสียงของคนต่างจังหวัดนั้นตั้งรัฐบาล แต่เสียงคนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล บัดนี้ทั้งสองนคราก็รวมกันเป็นหนึ่ง รวมถึงความเชื่อที่ว่ามีแต่คนรุ่นใหม่และหนุ่มสาวที่เลือกพรรคก้าวไกลก็ถูกทำลายลงเมื่อผลการเลือกตั้งนั้นฟ้องว่า พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงจากคนทุกกลุ่ม ทุกรุ่น ทุกวัย ที่มีเจตจำนงตรงกันที่ให้คำตอบปฏิเสธการสืบทอดอำนาจรัฐประหารที่ปกครองประเทศนี้มายาวนานเกือบทศวรรษ เสียงของผู้คนที่จะยืนยันว่า ประเทศนี้จะต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

เสียงของผู้คนที่ไม่อาจประเมินจำนวนและกำลังได้อย่างชัดแจ้งที่พร้อมจะลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิเสียงของพวกเขา ผู้คนที่ปะปนอยู่ในภาคส่วนรวมถึงภายในใจกลางสุดของฝ่ายที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจ แม้แต่ในหมู่ข้าราชการทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า หรือแม้แต่ตำรวจที่เห็นได้ชัดว่าช่วยกันแจ้งเบาะแสเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น เส้นสายตั๋วตำรวจส่งให้ทางพรรคก้าวไกลไปรับลูกต่อ 

แต่ต้องไม่ลืมว่า ผลการเลือกตั้งและนับคะแนนแม้แต่ในเขตทหารที่ผู้มีสิทธิเลือกก็มีแต่ทหารชั้นผู้น้อยไปจนระดับคุมกำลังกลางและครอบครัวอาศัยอยู่ หน่วยเลือกตั้งในเขตทหารเหล่านั้น พรรคก้าวไกลก็ยังชนะได้อยู่

หากมีความพยายามแทรกแซงอันไม่เป็นประชาธิปไตยด้วยอำนาจอันไม่ชอบธรรมอย่างที่เคยทำและทำมาตลอดด้วยความย่ามใจ ก็เป็นไปได้ว่าในครั้งนี้ น่าจะเกิดผลที่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่อาจประเมินความเสี่ยงเอาไว้ อย่างที่คาดเดาได้ยากด้วยว่าจะบานปลายไปสิ้นสุดลงที่จุดใด และใครจะถูกแหกออกมาแฉเหมือนเรื่องไอทีวีนี้อีก

เพราะพวกท่านพยายามจะต่อสู้โดยเปล่าประโยชน์เพราะไม่รู้ตัวว่ากำลังสู้อยู่กับใคร ทั้งในแง่ของประชาชนที่เป็นนามธรรมองค์รวม และประชาชนที่เป็นปัจเจก เป็นนาตาชาที่อาจจะกำลังนั่งประชุมอยู่ข้างๆ พร้อมรวบรวมหลักฐานความไม่ชอบมาพากลเพื่อเก็บไว้เปิดโปงความฉ้อฉลของพวกท่านอยู่ก็ได้

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image