จระเข้ขวางคลอง

จระเข้ขวางคลอง

เมื่อวาน 14 มิถุนายนครบรอบหนึ่งเดือนนับแต่วันเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้งขยับทำท่าว่าจะประกาศรับรอง ส.ส. ซึ่งไม่มีเรื่องร้องเรียนล็อตแรกจำนวนเท่าไหร่ ต้องรอติดตาม

ขณะที่ความพยายามสกัดกั้นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่ให้ไปถึงฝั่งนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังคงดำเนินต่อไปอย่างขะมักเขม้น

น่าเศร้าใจแต่ไม่แปลกประหลาดสำหรับการเมืองไทยที่โลกกำลังหมุนกลับ แทนที่กลุ่มหลักหักโค่น ขัดขวางนายพิธา จะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายข้างน้อย อนาคตพรรคฝ่ายค้าน แต่กลับเป็นบรรดาสมาชิกวุฒิสภาคนหน้าเดิมๆ

Advertisement

ไม่เก็บอาการ รักษามารยาทผู้ทรงคุณวุฒิกันอีกต่อไปแล้ว เดินหน้าออกมาเป็นหัวหอกพุ่งชนตรงๆ เต็มๆ

เปิดหน้าชกถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้คนดูคิดเป็นอื่นไปได้อย่างไร นอกจากต้องการรักษาอำนาจให้ถึงที่สุด จนกว่าจะหมดวาระการดำรงตำแหน่ง 14 พฤษภาคม 2567

อ้างเหตุโน่นนี่ว่านายพิธาและพรรคก้าวไกลมีตำหนิต่างๆ นานา ยังไม่สามารถเคลียร์ตัวเองให้ใสสะอาด หมดจดได้

Advertisement

ถ้าถึงวันประชุมรัฐสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็เป็นอำนาจหน้าที่และสิทธิของ ส.ว.ทั้งหลายจะไม่เอาด้วย ไม่ยอมรับให้นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นอันขาด

ไม่สนใจผลการเลือกตั้ง เจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยกว่า 24 ล้านเสียง เลือกฝ่ายประชาธิปไตยมากยิ่งกว่าฝ่ายอำนาจนิยมสืบทอดอำนาจเกือบสองเท่าอย่างชัดเจน

อ้างว่าถ้าคิดเฉพาะคะแนนของพรรคก้าวไกลพรรคเดียวก็ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง การบอกว่าเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อเป็นฐานรองรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงไม่ถูกต้อง

เถล เถ ไถ หาเหตุที่จะขัดขวางให้จนได้ไปเรื่อย ไม่มองในภาพรวมเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลเดิม ว่าผลคะแนนที่ชาวบ้านเลือกมา เขาต้องการเลือกฝ่ายไหนให้ไปทำหน้าที่แทน ฝ่ายไหนควรเก็บของกลับบ้านหรือคอยเป็นฝ่ายค้านให้ดีที่สุด

ส.ว.มากหรือน้อยก็แล้วแต่ คงไม่ลืมว่าทุกครั้งที่มีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา 272 ที่ให้อำนาจ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี พวกเขาออกมาโต้แย้งตลอดว่าให้ฝ่ายเสนอยกเลิกเคารพเจตนารมณ์ของประชาชนผู้ลงประชามติ เห็นชอบรัฐธรรมนูญ 2560 15.6 ล้านเสียง ฝ่ายที่ไม่เห็นชอบแค่ 10 กว่าล้านเสียง

แต่พอมาคราวนี้ ผลการเลือกตั้งปรากฏชัดเจน ผู้ใช้สิทธิเลือกเทคะแนนให้ฝ่ายค้านเดิมที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกว่า 24 ล้านเสียง ชนะฝ่ายรัฐบาลเดิมท่วมท้น ผลการเลือกตั้งก็ไม่ต่างไปจากการลงประชามตินั่นเอง แต่กลับไม่เคารพ ยอมรับ

การสกัดกั้นนายพิธาจะสำเร็จ ระดับไหนก็ตาม เงื่อนไขความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้อยู่ที่เอกภาพความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพรรคฝ่ายค้านเดิม 8 พรรค ที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายบริหารร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองพรรคหลักคือก้าวไกลกับเพื่อไทย

หากประนีประนอม ยอมตกลงกันได้ในเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรี โอกาสที่ ส.ว.จะใช้กลเกมสกัดกั้น ก็คงสำเร็จได้ยาก

ถึงแม้จะใช้วิธีการไม่ออกเสียงลงมติ ทำให้คะแนนเสียงสนับสนุนนายพิธาไม่ถึง 376 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด 750 คนก็ตาม

แนวทางต่อสู้ก็ปล่อยให้มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ต่อไปเรื่อยๆ กี่ครั้งก็แล้วแต่ ไปจนกว่า ส.ว.จะหมดวาระกลางปีหน้า

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะรักษาการต่อไปนานแค่ไหน จนถึงวันที่ ส.ว.หมดอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไป

ดูสิว่าสังคมคนส่วนใหญ่จะคิดอย่างไร ทำอย่างไร

เพราะไม่ใช่ฝ่ายผิดหรือเป็นต้นเหตุทำให้เสียงรับรองนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา

เหตุเกิดเพราะรัฐธรรมนูญยกร่างมาเพื่อพวกเรา ให้อำนาจพิเศษกับคนกลุ่มหนึ่ง ใช้เป็นเครื่องมือเอาเปรียบคนอื่น

แน่นอนบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติก็จะออกมาตำหนิโจมตี ว่าพรรคว่าที่รัฐบาลหรือแกนนำไร้ประสิทธิภาพในการรวบรวมเสียง ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพื่อโยนความผิดหรือไร้น้ำยาให้ ฝ่าย ส.ส.นั่นเอง

ผลกระทบ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือล่าช้า เพราะว่าที่นายกรัฐมนตรีถูกขัดขวาง ไม่ว่าผลทางการเมือง เศรษฐกิจ การต่างประเทศ ก็ตาม

สาธารณชนคนกลาง ทั้งในประเทศและนานาชาติย่อมมองเห็นเองว่า เหตุเกิดเพราะอะไร กฎหมายหรือคน ใครเป็นตัวถ่วง เป็นจระเข้ขวางคลอง

แม้ว่าคุณจะโกรธ เกลียด รู้เท่าทันพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคที่ได้คะแนนเสียงข้างมากขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งตัดสินใจแล้ว คุณควรเคารพ ยอมรับการตัดสินใจนั้น ถ้าคุณยังเชื่อมั่นหลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน

หากผิดพลาดก็ยอมรับผลแห่งการตัดสินใจนั้น เมื่อถึงเวลา 4 ปี ก็มาตัดสินใจกันใหม่ ตามกติกาประชาธิปไตย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image