ผู้เขียน | เดินหน้าชน |
---|
ดูเหมือนว่ามีความพยายามขัดขวางการเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
และการขัดขวางไม่ให้ก้าวไกลเข้ามาเป็นรัฐบาล จะดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เริ่มจากประเด็นการถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา เป็นกระแสมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง 14 พ.ค.66
การเลือกตั้งผ่านไป พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งอย่างพลิกความคาดหมาย ประกาศสร้างมาตรฐานการเมืองใหม่
มาพร้อมการเดินหน้านโยบายต่างๆ เข้าหามวลชน เดินสายไปพื้นที่ต่างๆ
ประกาศความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค ในฐานะผู้ชนะการเลือกตั้ง และสามารถรวบรวมเสียงได้มากที่สุด 312 เสียง จาก 8 พรรคการเมือง
แต่หลังจากนั้น กกต.มีมติส่งศาล รธน.วินิจฉัยปมหุ้นไอทีวี และขอให้นายพิธาหยุดทำหน้าที่ ส.ส. โดยไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจง
ที่สำคัญ เป็นวันเดียวก่อนหน้าจะมีการโหวตเลือกนายกในที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 13 ก.ค.66
ส่งผลให้บรรดา ส.ว.ที่เคยรับปาก พลิกกลับ เทพรรคก้าวไกล ไม่มาโหวตให้นายพิธา ทั้งที่แสดงท่าทางสนับสนุนมาตลอด
บรรยากาศในที่ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อลงมติ วันที่ 13 ก.ค. เป็นไปตามท่าทีจากแกนนำ ส.ว.ฝั่ง 2 ลุง ออกตัวมาก่อนหน้านั้น
ส.ว.พยายามอ้างถึงประเด็นการแก้ไข ม.112 ทั้งที่ ส.ว.หลายคนไม่กังวล
กลับมาเจอกับกระแส ส.ว.ผนึกกำลัง เกิดการล็อบบี้อย่างหนัก
เกิดกระแสข่าว “บิ๊กธุรกิจ” และผู้มีอำนาจร่วมลงขันประสานเครือข่ายบล็อกเต็มที่ เพราะไม่ไว้ใจนโยบายก้าวไกล
บางส่วนกลัวจะกระทบธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ได้รับผลกระทบเต็มๆ
บางส่วนไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันแบบนี้
แม้จะรู้ดีว่าเป็นกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างต้องใช้เวลา มีกระบวนการ
พูดคุย เพื่อเป้าหมายให้เกิดการอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
จึงเกิดรายการ ส.ว.ไม่มาตามนัด ผลการโหวตนายพิธา พลาดเป้าไปจากที่ทางพรรคก้าวไกลประเมินไว้ ได้เสียงหนุนมาแค่ 13 ส.ว.
ที่เหลือมีทั้งโหวตไม่เห็นชอบ งดออกเสียง และไม่มาประชุมดื้อๆ ซะอย่างนั้น
โลกโซเชียลร้อนฉ่าขึ้นมาทันที เมื่อด้อมส้มออกมาตอบโต้ เปิดโผเครือข่ายธุรกิจ ส.ว.
และเตรียมจะไปค้นข้อมูล เปิดบัญชีทรัพย์สิน ส.ว.กลุ่มดังกล่าวเพื่อเอาคืน
เพราะมองว่าไม่คำนึงถึงเสียงประชาชนเลือกมาชนะเป็นอันดับ 1 แต่กลับถูกขัดขวางจาก ส.ว.
แต่ด้าน ส.ว.ก็ออกมาตอบโต้ ประกาศทวงศักดิ์ศรี ดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้กล่าวหาในทุกช่องทางเช่นกัน
สถานการณ์เริ่มตอบโต้กันหนักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนการจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรค ดูง่อนแง่นเต็มที สอดคล้องกับกระแส “ดีลลับ” ก่อนหน้านี้
เมื่อช่วงก่อนการเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางไปเมืองนอก
มีคนสงสัยว่าไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังจะเดินทางกลับประเทศไทย ประกาศยอมถูกดำเนินคดี เพื่อขออยู่ใกล้ครอบครัว จริงหรือไม่
มีการพูดกันไปถึงขั้นที่ว่าจะให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแลกกับบางเงื่อนไข
ประเด็นนี้ทั้งสองฝ่ายก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีการพบกัน
พรรคเพื่อไทยถึงกับออกมาเล่นบทหวานแหววแต๋วจ๋า บอกว่ามีแต่ “ดีลรัก” กับพรรคก้าวไกล ไม่มี “ดีลลับ” กับพรรคอื่น สร้างความฮือฮาอยู่ช่วงหนึ่ง
ถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าเส้นทางการจัดตั้งรัฐบาลของก้าวไกลจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะถูกขัดขวางจากหลายฝ่ายอย่างหนักแน่น และหนักหน่วง
จึงสร้างความงุนงง จนเกิดคำถามขึ้นว่า จริงๆ แล้ว ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยแบบไหนกันแน่
แต่ก็เริ่มมีเสียงหนุนจากฝ่ายก้าวไกลเอง ขอให้อดทนรอ เก็บรวบรวมพลังจากคนรุ่นใหม่
อาจจะเป็นฝ่ายค้านก่อน แล้วพยายามสร้างผลงานให้เข้มข้นขึ้นอีก
เพื่อเอาชนะใจประชาชนเทคะแนนเสียงให้มากกว่านี้ให้ได้
เพราะเชื่อว่าโลกยุคใหม่ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะคนรุ่นเติบโตขึ้นทุกวัน
สิ่งสำคัญ หลายคนกลัวว่า หากเกิดการต่อต้าน เกิดการชุมนุมประท้วง จะแสดงออกอย่างไรไม่ว่าตามกฎหมาย
แต่หากสุ่มเสี่ยงจะเกิดความรุนแรง จะกระทบกับคนทั้งประเทศ
ย่อมไม่เป็นผลดีกับใครแน่นอน