ผู้เขียน | การ์ตอง |
---|
แฟลชสปีช : พ่ายแพ้ของผู้ชนะ
จนถึงวันนี้ คำถามหลักของสถานการณ์บ้านเมืองคือ “จะจบแบบไหน”
อ้ำอึ้งคืออาการของคนถูกถาม ขณะที่คำตอบเป็นเพียงการคิดวิเคราะห์กันไปคนละทิศละทาง ส่วนข้อมูลที่เล่าสู่กันฟังไม่มีนัยสำคัญที่จะให้ความชัดเจนอะไร
เรื่องราวที่เกิดขึ้นยังวนอยู่แค่ว่า ในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประชาชนแสดงออกชัดเจนถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจการบริหารประเทศ ด้วยการเลือกพรรคที่ประกาศจุดยืนเข้ามายุติการสืบทอดอำนาจอย่างท่วมท้น
ระหว่าง “เพื่อไทย” ที่เน้นการรื้อการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่มะงุมมะงาหรากับการแก้ปัญหาอย่างไร้วิชั่น กับ “ก้าวไกล” ที่ประกาศถึงการจัดการกับโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม
ประชาชนที่เฮโลกันออกมาเข้าคู่หากาบัตรมากเป็นประวัติการณ์ให้น้ำหนักอยากให้ปรับโครงสร้างยุติการผูกขาดอำนาจมากกว่า
คะแนนรวม 2 พรรค ทิ้งพวกสนับสนุนอำนาจนิยมไม่เห็นฝุ่น
นักการเมืองในวัฒนธรรมเก่า ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหญ่ หรือเครือข่ายที่ใช้อำนาจบงการล้มเหลวไม่เป็นท่า อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ทำให้นักวิเคราะห์ฝ่ายประชาธิปไตยยินดีปรีดา ด้วยดีใจว่าโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงเปิดให้เป็นไปได้ที่จะปฏิรูปประชาธิปไตยไทยให้เป็นไปอย่างที่อารยะประเทศเป็นกันได้เสียที
ต่างคนต่างกระตุ้นให้ “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” จับมือกันไว้ให้แน่น มั่นคงในภารกิจตอบสนองเจตจำนงประชาชน
ในช่วงแรกเพื่อเห็นความคึกคักของ 312 เสียงที่ฝ่ายประชาธิปไตยยืนหยัดอยู่กับความต้องการของประชาชน เกิดความดีอกดีใจกันยกใหญ่ว่า “ประชาธิปไตยไทยเดินหน้าสู่ความหวังได้แล้ว”
แต่ความดีใจนั้นอยู่ได้ไม่ทันไร
มีเรื่องราวมากมายเข้ามาแทรกซ้อน “วาระซ่อนเร้น” กลายเป็นภารกิจหลักที่เล่าลือกันถึง “ดีลลับ” นำสู่การล้มกระดานด้วยเหตุผลที่เอ่ยอ้างว่า “ประเทศชาติรอรัฐบาลนานไม่ไหว”
“เจตนารมณ์ประชาชน” ถูกทำลายด้วยความไม่หนักแน่นในภารกิจร่วม
“เพื่อไทย” ประกาศแยกทางเดินกับ “ก้าวไกล” ด้วยความเคลื่อนไหวที่เหมือนการ “ย้ายขั้ว” จะทำให้การตั้งรัฐบาลจะสำเร็จได้พร้อมกับ “ภารกิจลับเบื้องหลัง”
แต่ประกาศไม่ทันข้ามวัน ทุกอย่างก็พลันเหมือนล่มสลาย
ไม่ใช่แค่การเริ่มต้นใหม่ แต่เกิดความเสียหายระดับยับเยินจนยากจะกู่กลับของฝ่ายประชาธิปไตย
“อำนาจต่อรอง” ที่เหนือกว่ากลับพลิกไปเป็นของ “ขบวนการผูกขาด”
โดยประชาชนที่ทุ่มเทมาร่วมแสดงเจตจำนงได้แค่มองตากันปริบๆ ด้วยความ “ปวดใจ”
ชัยชนะที่เรืองรองอยู่เห็นๆ ก่อนหน้านั้น แปรเปลี่ยนมาเป็นพ่ายแพ้แบบ “ยากจะทำใจ”
ความร่วมมือร่วมใจที่ช่วยกันสร้างให้เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งแตกแยกใน “ฝ่ายที่พึงพาอำนาจประชาชน” ทอดทิ้งผลการเลือกตั้งที่เนรมิตชัยชนะให้แบบ “ไม่เห็นหัว” จนถูกชี้ว่ามุ่งสร้าง “ชัยชนะส่วนตัว เฉพาะพรรค”
ทว่าถึงวันนี้ยังเป็นข้อสงสัยว่าเป็นแค่ “หลงในเกมลวง” หรือไม่
เมื่อทุกเกมถูกเลื่อนออกไป ให้ทุกฝ่ายไปตั้งหลักใหม่ ว่าที่พากันต่างเอ่ยอ้าง “ผลประโยชน์ของประเทศชาติ” นั้น
ใครจะให้เหตุผลที่แสดงถึงความจริงให้ประชาชนเชื่อได้มากกว่า หรือใครให้ราคากับ “ขบวนการ” ที่เอื้อให้ไปถึง “การครองอำนาจ” เป็นหลัก
เมื่อมีจุดเริ่มก็ต้องมีจุดจบ
สำหรับคำประกาศ “จบที่ผลประโยชน์ประชาชน” จริงหรือไม่จริง อย่านึกเป็นอันขาดว่า “ประชาชนยังโง่จนอ่านไม่ออก”
ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ชัดเจนว่า “ประชาชนไม่ใช่ผู้ตาม นักการเมืองไม่ใช่ผู้นำ”
“บทจบ” ที่ใครไม่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน จะได้รับบทเรียนในอีกไม่นาน