เฝ้าวัดข้ามปี โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

วัดอื่น “สวดมนต์ข้ามปี” เสร็จก็คงแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย

แต่สำหรับ “วัดพระธรรมกาย” คงต้องเพิ่มกิจกรรม “เฝ้าวัดข้ามปี” เข้าไปอีกด้วย

ไม่เฝ้าก็ไม่ได้ เกิดดีเอสไอ ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองขยันเปิด “ยุทธการคลองหลวง” ภาค 2 ขึ้นมา อาจเตรียมการ “ป้องกัน” ไม่ทัน

เอาล่อเอาเถิดกันอยู่อย่างนี้

Advertisement

จะเห็นอกเห็นใจ หรือถือหลัก “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม”

ก็คงแล้วแต่ “มุมมอง” ของแต่ละฝ่าย แต่ละคน

ซึ่งว่าถึง “มุมมอง” แล้ว สำหรับ “ชาวธรรมกาย” เป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

Advertisement

โดยเฉพาะมุมมองต่อกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์แบบ “ฟาสต์แทร็ก” 3 วาระรวด ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายคัดค้านได้ขยับตัวเลยนั้น

ชาวธรรมกายมอง “ปรากฏการณ์” นี้อย่างไร หากมีมุมมองในเชิงลบสุดสุด

ก็ต้องระดม “สาวก” มาเฝ้าวัดข้ามคืน เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

อย่าไปเชื่อว่า กรณี พ.ร.บ.สงฆ์ ไม่เกี่ยวกับกรณีธรรมกาย

เรื่องเดียวกัน “แท้ๆ”

เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจเดินหน้า “ลุย” แก้ พ.ร.บ.สงฆ์ แบบ 3 วาระรวดเช่นนี้ แสดงว่าเขาเดินหน้าชนเต็มตัวแล้ว และคงไม่ได้ชน

เรื่องนั้นเรื่องเดียว

น่าจะเล็งเป้ามาที่วัดพระธรรมกาย ด้วยการเอาตัวพระธัมมชโยไปขึ้นศาล ให้ได้แน่

“มุมมอง” เช่นนี้ จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเสริมปราการให้แข็งแกร่ง และระดมศิษย์มานั่งสวดมนต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เหนื่อยกันอีกนาน

แต่อีก “มุมมอง” หนึ่ง

อาจจะยึดแนวทางธรรมหน่อยๆ นั่นคือถือหลัก “เพราะมีสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้”

โดยธรรมกายอาจจะลดมุมมองตนเองลงสักนิด

ลดลงด้วยการไม่มองว่า ตนเองเป็นศูนย์กลาง “วัดกระสุนตก”

หากแต่เป็นเพียง “เบี้ย” ตัวหนึ่งของสถานการณ์

สถานการณ์ของ “การเปลี่ยนผ่าน” ในองค์กรพุทธศาสนา

ทั้งหลายทั้งปวงที่อีนุงตุงนังอยู่กันขณะนี้ มาจากเรื่อง “สังฆราช” ที่คาดหมายว่าสมเด็จรูปใดจะขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นสำคัญ

เพียงแต่วัดพระธรรมกายถูกมองว่าเป็น “ขุมกำลังสำคัญ” ในการผลักดัน “สมเด็จช่วง” ขึ้นสู่ตำแหน่งสังฆราช

ทำให้อีกฝ่ายที่ไม่ชอบ ต้องชิงออกมาคัดค้านต่อต้านเสียแต่ต้น

ด้วยมองไปข้างหน้าว่า ภายภาคหน้าอาจจะมีการเกื้อหนุนกันและกัน จนทำให้วัดพระธรรมกายมี “จานบินกำลังสูง” ที่ยากจะควบคุม

ธรรมกายจึงเป็นเป้าหมาย “วัดกระสุนตก” เพื่อสกัดไม่ให้มีภาวะ “เพราะมีสิ่งนั้นจึงมีสิ่งนี้” ดังกล่าว

ทีนี้เมื่อสถานการณ์พลิกผันไป เพราะ สนช.แก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ไปแล้ว

ทำให้โอกาสสมเด็จช่วงที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งสังฆราช น้อยหรือแทบจะไม่มีเลย

ซึ่งนั่นย่อมทำให้แนวร่วมอย่าง “วัดพระธรรมกาย” ถูกลดแรงกดดันไปโดยอัตโนมัติ

เพราะเมื่อหัวใจของเรื่องถูกผ่าทางตันไปแล้ว อย่างอื่นก็ลดความสำคัญลง

แน่นอน วัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย อาจจะไม่ได้กลับมาสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เช่นเดิม

แต่ปฏิบัติการคลองหลวง แบบที่ยกกำลังไปกดดันอย่างที่เห็น

อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยก็ได้

คดีความก็ว่าไปตามน้ำ อายุความก็ยังอยู่อีก 15 ปี ไม่จำเป็นต้องเร่ง

หากชาวธรรมกายมี “มุมมอง” เช่นนี้

ก็อาจจะคลายความวิตก ว่าจะต้องถูกทลายไปลำดับต่อไปและในเร็วๆ นี้ อาจจะไม่ใช่

คำถามจึงมีว่า แล้วชาวธรรมกายจะมีมุมมองอย่างไร

“ฝ่ายเสนาธิการ” ระดับเปรียญ 9 ประโยค ที่ว่ามีมากมาย คงต้องถกกันหน้าดำคร่ำเคร่งกันต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image