สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก อโยธยา เมืองต้นกำเนิดประเทศไทย โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

เมืองอโยธยาอยู่บริเวณสถานีรถไฟอยุธยา (ภาพจากรายการ “ทุ่งแสงตะวัน” ข่าวสด ฉบับวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 หน้า 6)

เมืองสุโขทัย (จ. สุโขทัย) สมมุติถูกผ่าเมืองเป็น 2 ซีก ด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูง เสียงคัดค้านน่าจะมีหนาแน่นและหนักแน่นจากประชาชนและครูบาอาจารย์สถาบันต่างๆ โดยเฉพาะจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนด้านนี้

เพราะ “สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย” เป็นต้นกำเนิดคนไทยและความเป็นไทย ตามที่ชนชั้นนำหล่อหลอมกล่อมเกลาและควบคุมให้เชื่ออย่างเคร่งครัดนับร้อยปีมาแล้ว จนยกย่องเป็น “รัฐในอุดมคติ”

หลักฐานวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยาที่พบใหม่ ไม่สนับสนุนสุโขทัยอย่างนั้น แต่ทางการไม่ประกาศบอกกล่าวให้รู้ทั่วกันทั้งประเทศ กลับทำเฉยเมยอ้ำอึ้งคลุมเครือเพื่อให้งมงายอย่างเดิม

หลักฐานวิชาการสนับสนุนเมืองอโยธยา (จ. พระนครศรีอยุธยา) เป็นต้นกำเนิดคนไทย, ความเป็นไทย, ประเทศไทย

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าอะไรๆ ที่ว่ามีกำเนิดในเมืองสุโขทัยนั้นไม่จริง เพราะที่จริงสิ่งเหล่านั้นกำเนิดในเมืองอโยธยา ซึ่งเรื่องนี้ไม่พบความเคลื่อนไหวจากอาจารย์มหาวิทยาลัยด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีที่จะสื่อสารส่งข้อมูลจริงให้กับสังคมเพื่อความจริงทางวิชาการเรื่องนี้

ADVERTISMENT

เมืองอโยธยาเป็นต้นกำเนิดคนไทย, ความเป็นไทย, ประเทศไทย เป็นเรื่องเก่าที่ถูกปกปิดและถูกบิดเบือนมานานมากกว่า 50 ปีมาแล้ว เมื่อถูกยกมาเปิดเผยเพื่อคัดค้านการทำลายจากโครงการรถไฟความเร็วสูง (แต่ไม่คัดค้านการสร้างรถไฟความเร็วสูงที่หลีกเลี่ยงการทำลายเมืองอโยธยาตามมติคณะกรรมการแห่งชาติฯ) เลยเป็นเรื่องใหม่ที่ใครได้ยินก็งงๆ และไม่มั่นใจ เพราะไม่เคยได้ยินอย่างแข็งขันจากกรมศิลปากร, มหาวิทยาลัยศิลปากร, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ฯลฯ หรือหน่วยงานทางการอื่นๆ

กระทรวงวัฒนธรรมควรโหมแบ่งปัน เผยแพร่ ตอกย้ำอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความสำคัญของเมืองอโยธยา แต่ที่ผ่านมาทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนจงใจให้เมืองอโยธยาถูกบดขยี้ทำลายไป จะได้ไม่ต้องดูแลเหนื่อยยาก

ดังนั้น จะให้ชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปรู้ประวัติศาสตร์เมืองอโยธยาแล้วร่วมกันปกปักรักษาเมืองอโยธยาก็คงยากมากๆ และอาจไม่ได้เลย เพราะไม่รู้สึกสำคัญอย่างไรต่อความเป็นไทย และประวัติศาสตร์ไทย

นอกจากนั้นหน่วยงานทางการทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นที่มีผลประโยชน์ร่วม หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ต่างพากันให้ “ข้อมูลไม่ครบ” หรือ “ข้อมูลตัดแต่ง” ยิ่งทำให้คนทั่วไปไม่ท้วงติงคัดค้านการทำลายเมืองอโยธยา

ม.44 ผ่าซีกเมืองอโยธยา ด้วยรถไฟความเร็วสูง มีขึ้นอย่างเร่งรีบและรวบรัดของเผด็จการทหาร (คสช.) ตามอำนาจ ม.44 โดยไม่ต้องศึกษาอย่างถ่องแท้ถึงผลกระทบต่อเมืองอโยธยา ซึ่งเท่ากับทำลายสิ้นซากประวัติศาสตร์ความเป็นมาของความเป็นคนไทย, ภาษาไทย, และประเทศไทย

เมืองอโยธยามีคูน้ำคันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่มาก 1,400 x 3,100 เมตร (หรือ 1.4 กม. x 3.1 กม.) อยู่ทางตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา (จ.พระนครศรีอยุธยา) บริเวณสถานีรถไฟอยุธยาปัจจุบัน ซึ่งการสร้างทางรถไฟ (สมัย ร.5) ได้ทำลายเมืองอโยธยาไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะสมัยนั้นยังไม่มีแนวคิดอนุรักษ์เมืองโบราณในป่าดง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไป ไม่ควรทำลายซ้ำ

ในทางที่ถูกที่ควรแล้ว ต้องมีหน่วยงานกลางด้วยทุนจากรัฐบาลโดยตรง (ไม่ใช่ทุนจากการรถไฟ) โหมแบ่งปันเผยแพร่ข้อมูลจริงของเมืองอโยธยาพร้อมแผนผังและภาพถ่ายอย่างต่อเนื่องในระยะเวลายาวนานตามสมควร (เทียบเคียงกับสังคมได้ข้อมูลเก่าที่ผิดพลาดมานานนับร้อยปี)

มหาวิทยาลัยที่มีอาจารย์นักวิชาการไปรับจ้าง (การรถไฟ) ทำ HIA ต้องออกแรงแบ่งปันเผยแพร่เรื่องเมืองอโยธยามากเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่ “เพิ่งรับ” ว่าตรงสถานีรถไฟอยุธยาเรียกอโยธยา “พื้นที่ตรงนี้เขาเรียกว่าอโยธยา มันคือพื้นที่ชุมชน หรือเมืองก่อนจะมีอยุธยา” (ที่ปรึกษาศึกษาษาผลกระทบต่อมรดกโลกทางวัฒนธรรม HIA กล่าวไว้ที่ จ. พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2566)

  • ร.5 เห็นความสำคัญของเมืองอโยธยา

เมืองอโยธยาเป็นที่รับรู้ของนักปราชญ์มากกว่า 116 ปีมาแล้ว และเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการสมัยต่อมา หลังจากนั้นจึงมีการศึกษาค้นคว้าสืบเนื่องตามหลักฐาน

1.ร.5 ทรงบอกเมื่อ 116 ปีมาแล้ว ว่าอโยธยาคือเมืองเก่าของอยุธยา อยู่ฝั่งตะวันออกของพระนครศรีอยุธยา มีสถูปเจดีย์วัดวาอารามสำคัญๆ ได้แก่ วัดพนัญเชิง, วัดใหญ่ชัยมงคล, วัดอโยธยา (วัดเดิม), วัดกุฎีดาว, วัดมเหยงคณ์ เป็นต้น

ทรงให้ความสำคัญมากต่อเมืองอโยธยาว่าเป็นเมืองเก่าของอยุธยา จึงมีพระราชดำรัสเมื่อ พ.ศ. 2450 เปิด “โบราณคดีสโมสร” กล่าวถึงเมืองอโยธยาและวัดวาอารามสำคัญในเมืองอโยธยา

2.นักปราชญ์อื่นๆ อีกหลายคน ได้แก่ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์), ธนิต อยู่โพธิ์ (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร), มานิต วัลลิโภดม (อดีตนักปราชญ์ กรมศิลปากร), ศรีศักร วัลลิโภดม (นักปราชญ์ร่วมสมัย), หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล (อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร), จิตร ภูมิศักดิ์ (นักปราชญ์ของประชาชน), พเยาว์ เข็มนาค (ช่างสำรวจโบราณคดี กรมศิลปากร)

  • อโยธยา เมืองต้นกำเนิดประเทศไทย

เมืองอโยธยาเป็นที่รวมศูนย์ของคนและวัฒนธรรมจากทุกทิศทาง และก่อนสมัย เมืองอโยธยา ไม่พบคำว่า “ไทย” เช่น ภาษาไทย, วัฒนธรรมไทย, คนไทย, เมืองไทย

(1.) ภาษาไทย มีกำเนิดในอโยธยา มาจากตระกูลภาษาไท-ไต ผสมกลมกลืนกับภาษาของคนลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น มอญ, เขมร, มลายู ฯลฯ แพร่หลายไปทุกทิศทาง เพราะเป็นภาษากลางทางการค้าและการเผยแผ่เถรวาทไทย

(2.) วัฒนธรรมไทย มีกำเนิดในอโยธยา มาจากวัฒนธรรมไท-ไต ผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับวัฒนธรรมลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ มอญ, เขมร, มลายู ฯลฯ

(3.) คนไทย มีกำเนิดในอโยธยา มาจากคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” กลายตนเป็นไทยด้วยการพูดภาษาไทยและมีวัฒนธรรมไทย

(4.) เถรวาทไทย มีกำเนิดในอโยธยา มาจากเถรวาทแบบลังกา ผสมผีกับ พราหมณ์ (แบบละโว้) แล้วแผ่ขึ้นไปเมืองสุโขทัยและบ้านเมืองอื่นๆ

(5.) พระราม (อวตารของพระนารายณ์) มีกำเนิดในอโยธยา “ศรีรามเทพ” เพราะก่อนหน้านั้นรัฐละโว้นับถือพระกฤษณะ (อวตารของพระนารายณ์) ไม่ยกย่องพระราม

(6.) วรรณกรรมไทย มีกำเนิดในอโยธยา เขียนเป็นภาษาไทย ด้วยอักษรเขมร หรืออักษรขอม เรียก “ขอมไทย” เป็นต้นทางวรรณกรรมภาษาไทย อักษรไทย

(7.) สมุดไทย มีพัฒนาการในอโยธยา ทำจากต้นข่อย เรียกสมุดข่อย ใช้เขียนวรรณกรรมไทย ต่อมาเรียกสมุดไทย

(8.) ประเทศไทย มีกำเนิดจากอโยธยา ผ่านอยุธยา, ธนบุรี, รัตนโกสินทร์, สยาม

  • เมืองอโยธยากับเมืองอยุธยา เป็นคนละเมืองที่สืบเนื่องกัน

อโยธยา มาจากนามเต็มว่า “อโยธยาศรีรามเทพ” (แปลว่า) เมืองแห่งชัยชนะของพระรามอวตาร

อยุธยา มาจากนามเต็มว่า “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา” (แปลว่า) เมืองสวรรค์อันเป็นที่สถิตของพระกฤษณะและของพระราม [“อยุธยา” ถูกเรียกตั้งแต่เรือน พ.ศ. 1893 พบในวรรณกรรมสมัยต้นอยุธยา และสมัยต่อมาด้วยชื่อต่างกัน เช่น อยุธยา, กรุงเทพทวารวดี, อโยธยา เป็นต้น]

อโยธยามีอายุเกือบพันปีมาแล้ว (เก่าแก่กว่าเมืองสุโขทัย) เป็นเมืองต้นกำเนิดอยุธยา (คือกรุงศรีอยุธยา)

หมายความว่า “อโยธยาเป็นเมืองเก่าของอยุธยา” ส่วน “อยุธยา เป็นเมืองใหม่ของอโยธยา” โดยศูนย์กลางอำนาจ (คือวังหลวง) มีที่ตั้งแยกออกจากกัน แต่พื้นที่ของเมืองทับซ้อนกัน

  • อโยธยาถูกบังคับสูญหาย

ประวัติศาสตร์ไทย “แห่งชาติ” ด้อยค่าแล้วบังคับสูญหายเมืองอโยธยา ด้วยเหตุดังนี้

1.ประวัติศาสตร์ไทย “แห่งชาติ” สถาปนา “สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก” และให้มีอายุเริ่มที่ประมาณ พ.ศ. 1800 โดยไม่พบหลักฐาน
2. เมืองอโยธยา เริ่มประมาณ พ.ศ. 1600-1700 มีอายุเก่าแก่กว่าเมืองสุโขทัยนับร้อยปี

ชนชั้นนำต้องการให้ “สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย” แต่ถ้ายอมรับเมืองอโยธยามีอายุเก่าแก่กว่า ก็เท่ากับสุโขทัยไม่เป็นราชธานีแห่งแรก และประเด็นอื่นๆ ตามมาจะถูกยกเลิกความน่าเชื่อถือ ได้แก่ พ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทย

เมืองอโยธยาถูกบังคับสูญหายจากประวัติศาสตร์ไทย จึงไม่มีใครรู้จัก หรือรู้จักไม่มาก

แต่ขณะนี้สุ่มเสี่ยงสูญหายสิ้นซากจากโลก เมื่อรถไฟความเร็วสูงถูกกำหนดสร้างสถานีมหึมากลางเมือง และสร้างรางรถไฟผ่าเมืองอโยธยา