ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
หากถนนสายหนึ่งเป็นถนนที่ตัดคดไปเคี้ยวมาโดยไม่มีเหตุผล แล้วใครสักคนจะเดินออกนอกเส้นทางนั้นเพื่อไปถึงจุดหมาย จะเรียกว่าเขา “เดินตรง” หรือ “เดินเบี้ยว”
คงต้องยอมรับร่วมกันก่อนว่าการ “ขับ” หมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลกและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ออกจากพรรคก้าวไกลนั้น ทางพรรคคงไม่ได้มีเจตนาที่จะ “ขับไล่” ออกจากพรรคอย่างคนที่บาดหมางกัน เหมือนเช่นตอนที่ “พรรคอนาคตใหม่” ขับ 4 ส.ส. “งูเห่า” ที่มีพฤติกรรมโหวตสวนมติพรรคและแสดงท่าทีเป็น “พันธมิตร” หรือ “มีใจ” กับพรรคการเมืองอื่นในฝั่งรัฐบาล ซึ่งโฆษกพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้นชี้แจงว่า เนื่องจากพรรคมีจุดยืนอุดมการณ์ และผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามอุดมการณ์พรรค สุดท้ายจึงต้องขับออกตามกระบวนการภายในของพรรค
เมื่อมาเปรียบเทียบกับการขับ “หมออ๋อง” ออกจากพรรคก้าวไกลตามแถลงการณ์นั้นสรุปได้ว่าเป็นเพราะตัวเขาแสดงความประสงค์ว่าต้องการทำหน้าที่ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เพื่อผลักดันให้สภามีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น รวมถึงเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบกระบวนการตรวจรับอาคารรัฐสภา แต่ทางพรรคยังคงยืนยันถึงความสำคัญของการทำหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์” ที่หัวหน้าพรรคจะต้องได้เป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะขัดต่อสถานะของรองประธานสภาตามรัฐธรรมนูญ พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องให้ “หมออ๋อง” ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค
ปัญหาว่าทำไมรัฐธรรมนูญจึงต้องกำหนดว่า “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” จะต้องมาจากพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นประธาน หรือรองประธานรัฐสภา ต้องตั้งต้นกันที่ว่า เอาเข้าจริงการให้คำจำกัดความคำว่า “พรรคฝ่ายค้าน” ในทางกฎหมายเป็นเรื่องที่ยาก เพราะถ้าให้เราอธิบายด้วยภาษาการเมืองทั่วไป “พรรคฝ่ายค้าน” ก็คือ “พรรคการเมืองที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาล” แต่ไอ้การที่ “ไม่ได้ร่วมรัฐบาล” นี้จะสามารถให้คำจำกัดความในทางกฎหมายได้อย่างไร
เช่นนี้ถ้อยคำที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 จึงบัญญัติไว้ว่า “พรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” เพราะเมื่อพิจารณาตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อย่างน้อยการมีสมาชิกดำรงตำแหน่งดังกล่าวข้างต้นนี้ หมายถึงว่าพรรคการเมืองนั้นเป็นพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล เพราะโดยปกติแล้วพรรคการเมืองที่เป็น “ฝ่ายค้าน” มักจะไม่ใช่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้น โดยสภาพแล้วจึงไม่อาจหาเสียงสนับสนุนพอให้สมาชิกพรรคของตนได้เป็นประธาน หรือรองประธานสภาผู้แทนฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็เข้าใจว่าไม่มีประธาน หรือรองประธานสภาผู้แทนฯ มาจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านด้วย
แต่กรณีของ “พรรคก้าวไกล” กลับกลายเป็น “พรรคฝ่ายค้าน” ที่มี ส.ส.ของพรรคได้เป็นรองประธานสภาผู้แทน อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “บั๊ค” ของระบบ เนื่องจากการลงมติเลือกประธานสภา หรือรองประธานสภาเป็นเรื่องของเสียงในสภาผู้แทนราษฎรโดยเฉพาะ เมื่อพรรคก้าวไกลคือพรรคที่ชนะการเลือกตั้งโดยมีจำนวน ส.ส.มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร และในตอนนั้นก็สามารถจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นๆ จนได้เสียงข้างมาก จึงทำให้สามารถต่อรองกันจนได้มี ส.ส.เป็นรองประธานสภาผู้แทนฯได้
แต่ด้วยกลฉ้อฉลแห่งการสืบทอดอำนาจของรัฐธรรมนูญ และเหตุปัจจัยทางการเมืองอื่นๆ ที่แทรกซ้อน ทำให้ในที่สุดพรรคก้าวไกลก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับเสียงข้างมากจากรัฐสภาที่รวมทั้ง ส.ส.และ ส.ว.เพียงพอให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นเหตุให้พรรคก้าวไกลต้องจำยอมเป็น “พรรคฝ่ายค้าน” โดยยังคงมี ส.ส.เป็นรองประธานสภาผู้แทนฯอยู่ เพราะโหวตเลือกมาก่อนการเลือกนายกรัฐมนตรี
แต่เรื่องว่าจะให้ “หมออ๋อง” ลาออกจากพรรคก้าวไกลไปสังกัดพรรคอื่นโดยไม่ต้องขับต้องไล่กันได้หรือไม่นั้น ก็เป็นเพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (8) ระบุไว้ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก เพราะตามหลักการของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญไทยที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ คือบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง หาก ส.ส.ไม่มีพรรคการเมืองสังกัดก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไป
แตกต่างจากกรณีตาม (9) ของมาตราเดียวกัน คือการพ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองตามมติไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ผู้นั้นสังกัดอยู่ ส.ส.ผู้นั้นสามารถเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติขับออก แต่ถ้าหาพรรคสังกัดไม่ได้ในกำหนดระยะเวลานั้นจึงจะถือว่าต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.
ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเหตุผลรองรับไว้เช่นเดียวกันว่า เป็นเพราะไม่ต้องการให้ ส.ส.ซึ่งมีฐานะเป็น “ผู้แทน” ของประชาชนจะต้องถูกบีบบังคับให้ต้องผูกพันตนเข้ากับ “มติพรรคการเมือง” ที่สังกัดจนกลายเป็นเพียงเครื่องจักรยกมือตามมติพรรคในสภา ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ” ดังนั้น ในกรณีที่มี ส.ส.ผู้ใดไม่เห็นด้วยกับมติของพรรคตนในการทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐสภาแล้ว ก็ยังชอบที่จะใช้เจตจำนงของตนลงมติหรือทำหน้าที่ไปได้อย่างอิสระ โดยน้อมรับความเสี่ยงว่าอาจจะต้องถูกขับออกจากพรรคการเมืองนั้นไว้เอง
ส่วนที่ถ้าสงสัยว่า ทำไมรัฐธรรมนูญจึงต้องกำหนดสองกรณีไว้แตกต่างกัน หรือทำไมจึงไม่เปิดโอกาสให้ ส.ส.สามารถลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนสังกัดไปสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่น หรือเท่ากับเปิดโอกาสให้ “ย้ายพรรค” ได้โดยเสรี ก็ตอบได้ไม่ยากเลยว่า ถ้ารัฐธรรมนูญเปิดช่องเช่นนั้นก็จะเท่ากับเป็นการ “เปิดเสรีฟาร์มงูเห่า” ที่ให้พรรคการเมืองบางพรรคเอาผู้สมัคร ส.ส.ไปฝากเลี้ยงให้ลงสมัครไว้กับพรรคการเมืองอื่น หากได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แล้วค่อยดูดกลับมาเข้าพรรคของเจ้าของที่แท้จริง
ดังนั้น ว่ากันตามตรง ถ้าจะพูดในมุมมองของกฎหมายแพ่ง การขับออกจากพรรคนี้ก็อาจจะต้องยอมรับว่าค่อนข้าง “ใกล้เคียง” กับการทำนิติกรรมอำพรางจริงดังที่มีผู้ติฉินอยู่ โดยนิติกรรมอำพราง หมายถึงการทำนิติกรรมรูปแบบหนึ่งขึ้นอำพรางนิติกรรมอีกอย่างหนึ่งที่มีเจตนาจะให้ใช้บังคับจริง เช่นนี้ การ “ขับออกจากพรรค” ที่ควรจะเป็นมาตรการสำหรับใช้กับสมาชิกพรรคที่ “ไม่สามารถปฏิบัติตามอุดมการณ์พรรค” จึงนำมาใช้กับกรณีซึ่งเราก็รู้กันทั่วไปว่าแท้จริงแล้วประสงค์จะให้ “หมออ๋อง” ได้ “ออก” จากความเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลโดยสมัครใจที่เทียบเท่ากับการ “ลาออก” โดยยังคงรักษาตำแหน่ง ส.ส.และรองประธานสภาอยู่ได้นั่นเอง
แต่การลงมติขับ “หมออ๋อง” ออกจากพรรคก้าวไกลจะถือว่าเป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ถ้าพิจารณาจากตัวบทของรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (9) ก็ไม่ได้ระบุว่า ส.ส.ที่พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ ฯลฯ นั้นจะต้องพ้นด้วยเหตุใด หรือการที่พรรคการเมืองจะมีมติขับ ส.ส.ออกจากพรรคได้นั้นต้องมีเงื่อนไขบังคับก่อนอย่างไร
ดังนั้น แม้ว่าในที่สุด “หมออ๋อง” จะดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรอยู่ต่อไปโดยเป็นสมาชิกพรรคใหม่ก็ยังคงชอบด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าใครๆ ก็รู้กันว่ามติที่ขับเขาออกจากพรรคก้าวไกลเป็นมติขับออกจากพรรคเพื่อให้มีผลเท่ากับเป็นการให้ลาออกจากสมาชิกพรรคโดยคงตำแหน่ง ส.ส.ไว้ก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่จะมีบุคคลใดไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใดให้ตรวจสอบหรือเพิกถอนได้ เพราะเรื่องนี้ถ้ามติของพรรคก้าวไกลเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธินำคดีไปร้องได้ก็น่าจะต้องเป็นตัวผู้ถูกขับออกจากพรรคนั้นเอง ส่วนคนอื่นไม่ถือว่ามีส่วนได้เสียไปด้วย
สำหรับเรื่อง “ความสง่างาม” ก็เป็นปัญหาตามแต่ใครจะมองซึ่งในที่สุด มันก็จะเป็นดังเช่นคำถามที่จั่วหัวไว้ตอนต้นว่า หากเราเดินเป็นเส้นตรงบนทางที่คดไปเคี้ยวมา จะเรียกว่าเรา “เดินตรง” หรือ “เดินเบี้ยว” คำตอบนี้ขึ้นกับมุมมองของคำว่า “เดินตรง” ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
สำหรับบางคน การ “เดินตรง” หมายถึงการ “เดินอยู่ในเส้นทาง” ที่กำหนดไว้ ไม่ว่าต่อให้ทางจะเลี้ยวไปเลี้ยวมา แต่ถ้าเราเดินเลาะไปตามทางอันลดเลี้ยวนั้นโดยไม่ออกจากเส้นทาง ก็ถือว่าเป็นการ “เดินตรง” ในความหมายนี้ คือมุมมองว่าการยึดถือกรอบกติกาเป็นหลัก ไม่ว่ากติกานั้นจะบิดเบี้ยวเพียงไร แต่ถ้ายอมสมัครใจมาเดินบนเส้นทางที่กำหนดไว้นี้แล้ว ก็ไม่ควรเดินฝ่าเส้นทางที่กำหนดนี้ออกไป
แต่สำหรับอีกหลายคน การ “เดินตรง” คือการแน่วแน่เพื่อจะเดินไปที่จุดมุ่งหมาย ส่วนเส้นทางที่กำหนดไว้เป็นอย่างไรนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ถ้าการ “เดินตามทาง” นั้นเล็งเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่การเดินเข้าสู่เป้าหมายแล้ว การเดินออกนอกเส้นทางแต่ยังคงมุ่งตรงเข้าสู่จุดหมายอย่างมุ่งมั่นต่างหากที่จะเรียกว่าการเดินตรง
บางครั้ง “ทาง” หรือ “ถนน” นั้น อาจเกิดจากการที่มีใครที่มีอำนาจมาขีดเส้นกำหนดทางให้ ดังนั้น ทางจะเลี้ยวจะตรงอย่างไรก็ขึ้นกับผู้ที่ขีดทางสร้างถนนนั้นอยากจะให้เราเดินไปในทิศทางไหน ต้องการจะให้เราหลบเราอ้อมอะไร ก็สุดแต่ใจเขา
แต่มันก็ยังมี “ทาง” อีกแบบหนึ่งที่เกิดจากการที่ใครคนหนึ่งเริ่มเดินไปบนเส้นทางนั้นคนแรก และมีคนเห็นว่านี่คือเส้นทางที่สมเหตุสมผล ก็เดินตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดเป็นทางตามธรรมชาติ เป็นทางที่เกิดขึ้นเพราะมีคนเดิน โดยอาจจะเดินออกนอกเส้นทางหลักอันเป็นทางบังคับที่มีผู้มาขีดไว้ก่อนก็ได้
ถ้าแน่ใจว่าจุดหมายที่จะไปถึงนั้นถูกต้อง การเดินตรงเพื่อสร้างทางของตนโดยไม่ยอมจำนนเลาะไปตามทางที่คดเคี้ยวและไม่มีหลักประกันว่าจะถึงเป้าหมายได้ก็อาจจะเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง ส่วน “จุดหมาย” ที่จะไปถึงนั้นจะถือเป็นจุดหมายที่ชอบแล้วหรือไม่ ผู้เดินก็คงรู้อยู่แก่ตน และสังคมก็จะเป็นผู้ตัดสินใจตอนท้ายให้เอง
กล้า สมุทวณิช