คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ‘คำวิจารณ์’ ที่สร้าง ‘งานยาก’

 ไ ม่ว่าผู้ลงชื่อจะเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตคณบดี และคณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำรวมกันได้ถึง 99 คน แต่แถลงการณ์คัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทก็ได้รับก้อนอิฐและรองเท้าตลอดจนคำเยาะเย้ยถากถางระดมสาดกลับมาตามคาด หรืออาจจะเกินคาด

การตอบโต้เช่นว่านั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมาจากผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยระดับเข้มข้นฮาร์ดคอร์ ที่เรารู้จักกันในชื่อของนายแบกนางแบกแต่ถ้าพิจารณาแยกแยะกันจริงๆ แล้วก็จะพบว่า แม้ผู้ที่ไม่ได้เลือกเพื่อไทยแต่ที่เกลียดชังระบอบรัฐประหารสืบทอดอำนาจและรัฐบาลที่แล้วเอง ก็ยังไม่ให้ราคากับแถลงการณ์ของนักวิชาการข้างต้นเช่นกัน

ด้วยคำถามเดียวกันทุกฝ่ายว่าแล้วร่วม 8 ปีที่ผ่านมาในยุครัฐบาลประยุทธ์ พวกพี่ๆ ลุงๆ ป้าๆ ไปอยู่ที่ไหนกันมา 

ถ้าจะบอกว่าเกรงอำนาจรัฐประหารเลยต้องสงบเสงี่ยมเพื่อความปลอดภัย แต่ช่วงที่เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2562 ก็ยังมีเวลาให้ออกความคิดเห็นตั้ง 4 ปี แถมทั้งเรื่องนี้ก็มีคนดักคอรอไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ทันทีที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เดี๋ยวพวกเทคโนแครตสายเศรษฐกิจก็จะโผล่หน้ากันออกมาเอง 

Advertisement

พอออกมาจริงตามคำดักคอนั้นจึงเรียกเสียงโห่เสียงฮาได้อย่างน่าดูชม

จริงอยู่ ที่การใช้ตัวผู้พูดมาตัดสินเนื้อหาที่พูดเป็นรูปแบบหนึ่งของตรรกะ หรือเหตุผลวิบัติประเภท Argumentum ad hominem นั่นเป็นเพราะว่าโดยหลักแล้ว พฤติกรรมของเจ้าของประเด็นไม่มีผลต่อเนื้อหาของประเด็น หากข้อความที่ถูกต้องต่อให้พูดโดยคนที่ผิดข้อความนั้นก็ยังคงถูกต้อง เช่น ถ้าใครพูดถึงพิษภัยของสุรายาเสพติด ต่อให้ผู้ที่พูดนั้นเป็นผู้เสพยันผู้ค้า ข้อความเตือนนั้นก็ยังคงถูกต้องเชื่อถือได้อยู่

แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว การจะมองว่าพฤติกรรมหรือการกระทำในอดีตของผู้แสดงความคิดเห็นนั้นไม่มีผลใดๆ ต่อความน่าเชื่อถือของเนื้อหาของประเด็นที่ยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้น ก็ออกจะเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาจนเกินไป โดยเฉพาะหากข้อประเด็นนั้นเป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์ถูกผิดไม่ได้แน่ชัด หรือเป็นการคาดการณ์หรือความคิดเห็น (ที่อาจจะมีหลักวิชาการสนับสนุนหรือไม่ก็ตาม) 

Advertisement

ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ถ้ามีผู้เสนอแนวคิดเรื่องการสัมผัสร่างกายเด็ก เป็นการเสริมสร้างความรัก ความอบอุ่น และเป็นผลดีต่อสุขภาพจิตของเด็กแต่โดยตัวผู้เสนอแนวคิดนั้นดันเป็นพวกใคร่เด็ก (Pedophilia) ที่เคยต้องคำพิพากษาหรือมีคดีติดตัว เช่นนี้วิญญูชนก็คงจะพิจารณาประโยคแนะนำข้างต้นด้วยความเคลือบแคลงว่าจะมีประโยชน์อันมิชอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่ 

โดยความเห็นส่วนตัวข้ออ่อนที่สุดของคำแถลงการณ์คัดค้านนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในตัวเนื้อหา แต่เป็นทัศนคติของผู้ลงชื่อในแถลงการณ์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลสำคัญระดับอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ยกตัวอย่างนโยบายภาครัฐที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้นแต่สร้างความบิดเบือนให้กับกลไกตลาด และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาระทางการคลังแบบได้ไม่คุ้มเสีย ฯลฯ ขึ้นมาด้วยโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ดและโครงการรถคันแรก

คำว่าจำนำข้าวเป็นความเจ็บปวดและบาดแผลของทั้งกองเชียร์เพื่อไทย หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ถึงกับชื่นชมเพื่อไทยแต่ก็ไม่เอาด้วยกับการปกครองในระบอบรัฐประหารและสืบทอดอำนาจ นั่นก็เพราะนโยบายการจำนำข้าวเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล น..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้าที่มาจากพรรคเพื่อไทย 

ในตอนนั้น บรรดาเทคโนแครตทางเศรษฐกิจและการเงินต่างก็ออกมาคัดค้านนโยบายนี้ จนสร้างจนปั้นกันเสียจนโครงการช่วยเหลือเกษตรกรนี้มีภาพเป็นนโยบายที่เลวร้ายระดับขายชาติ ที่จะกลายเป็นภัยพิบัติทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไปถึงชั่วลูกชั่วหลาน 

การแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวก็ส่งไม้ต่อไปเป็นเครื่องมือหนึ่งของกลุ่มอันธพาลการเมือง กปปส. ที่เข้าอาละวาดรบกวนเสียจนการเบิกจ่ายเงินตามโครงการจำนำข้าวไม่อาจดำเนินการไปได้ และนำไปสู่สภาพที่รัฐบาลไม่อาจบริหารปกครองประเทศประการใดได้เลยในช่วงหลัง เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่นำไปสู่การทำรัฐประหาร และส่งผลให้ประเทศไทยเข้าสู่ทศวรรษที่สูญหายในที่สุด

นอกจากนี้ คำว่าจำนำข้าวยังกลายมาเป็นท่าไม้ตายสำหรับรัฐบาลที่แล้วให้เอาไว้ตอบกลับเวลาที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับนโยบายการเงินการธนาคาร หรือการทักท้วงเรื่องการใช้เงินแผ่นดินว่ายังไงก็ดีกว่านโยบายจำนำข้าวแม้แต่การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์

เช่นนี้เอง เพียงหลุดคำว่าจำนำข้าวออกมาโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแถลงการณ์ ก็ทำให้ทุกคนทุกฝ่ายที่ไม่ใช่แค่นายแบก นางแบก ร้องยี้ ทำหน้าเหม็นกลิ่น

กะทิบูด โดยไม่พึงต้องพิจารณาเนื้อหาสาระหรือเหตุผลประกอบใดๆ ทั้งสิ้น 

แถมให้ด้วยว่า ถ้าใครได้อ่านแถลงการณ์ข้างต้น ก็จะพบคำตอบอยู่ในข้อ 5 ด้วยว่า เหตุใดนักวิชาการกลุ่มนี้จึงไม่หือไม่อือกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมา นั่นเพราะพวกเขาเห็นว่า การดำเนินนโยบายที่ขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อใช้จ่ายด้านสาธารณสุข กระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตโรคระบาด นั้นเป็นเรื่องจำเป็นเหมาะสมแล้ว ซึ่งก็น่าจะถูกส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีคำถามอยู่ดีว่า แล้วมาตรการทุกมาตรการนั้นตอบสนองความเหมาะสมจำเป็นนั้นหรือไม่ ทั้งในแง่ของเนื้อหาและวิธีการดำเนินนโยบาย

จึงเข้าใจได้ว่าในสายตากองเชียร์พรรคเพื่อไทยหรือผู้ที่เกลียดชังระบอบรัฐประหาร จึงมองแถลงการณ์นี้ว่าเป็นเหมือนสัญญาณธงเริ่มโจมตีเพื่อสั่นคลอนรัฐบาลที่อย่างน้อยก็มีที่มาอย่างเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นการโจมตีแล้ว แถลงการณ์นี้ก็ถูกมองในฐานะของอาวุธที่ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเนื้อหาใดต่อไปอีก

นอกจากนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวก็ยังจะส่งผลต่อไป ให้การคัดค้านหรือติติงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไม่ว่าจะจากใครหรือฝ่ายใดก็ตาม นั้นก็จะประสบความยากลำบากมากขึ้นไปอีก 

เพราะว่าผู้ที่คัดค้านหรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทนี้ มีทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยตั้งแต่หลักการเลย ว่าไม่ควรดำเนินนโยบายนี้ ซึ่งเป็นความเห็นเดียวกับฝ่ายนักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเงินที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์นั่นแหละ โดยที่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ระดับหลักการนี้มีได้กระทั่งคนที่เลือกหรือสนับสนุนพรรคเพื่อไทย หรือผู้ที่แสดงความคิดเห็นด้วยความปรารถนาดีตามหลักการด้วยซ้ำ

กับอีกกลุ่มคือผู้ที่เห็นด้วยหรือยอมรับว่าสมควรดำเนินนโยบายนี้ต่อไปในหลักการ เพียงแต่วิธีการในการแจกเงินดิจิทัลนี้ สมควรที่จะคิดใหม่หรือทบทวนให้รอบคอบรอบด้าน ตั้งแต่ปัญหาแรกว่า ควรแจกเงินนี้ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่อายุเกิน 16 ปีโดยถ้วนหน้า หรือควรกำหนดเฉพาะกลุ่มผู้จำเป็นหรือสมควรได้รับการช่วยเหลือ รวมถึงการตั้งข้อสงสัยว่ามีความจำเป็นอันใดที่จะต้องนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ สมควรจะต้องพัฒนา Application เพื่อการแจกเงินนี้ หรือหาใช้ช่องทางเดิมที่มีอยู่แล้ว ไปจนถึงข้อความเห็นปลีกย่อย เช่น กรอบพื้นที่ในการใช้เงินในรัศมี 4 กิโลเมตร ว่าควรจะเป็นเท่าไรอย่างไร และการตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินนี้จะมีกลไกใดที่จะทำให้โปร่งใส และวัดผลได้ว่าการดำเนินนโยบายดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนได้อย่างไร ฯลฯ

แต่ข้อสังเกตติติงข้างต้นนั้นก็ได้ถูกกวาดกองไปรวมเข้ากับการคัดค้านการแจกเงินดิจิทัลไปเสียหมดแล้ว พร้อมแปะป้ายสลิ่มไว้ที่หัวของผู้ที่เสนอความเห็นหรือข้อสังเกตข้างต้นด้วย ทั้งๆ ที่ขอกล่าวอีกครั้งว่า ความเห็นหรือข้อสังเกตเหล่านั้นมาจากพื้นฐานที่เห็นด้วยกับการแจกเงินดิจิทัลทั้งสิ้น แต่ก็อยากให้กระบวนการหรือวิธีการนั้นเป็นไปโดยรอบคอบไม่เปิดช่องว่างให้ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีที่ข้ออ่อนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วยซ้ำ

พูดให้ง่ายกว่านั้น คือแถลงการณ์ของนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ทั้ง 99 คน ข้างต้น ไปกระตุ้นจุดเดือดให้บรรดานายแบก นางแบกและกองเชียร์รัฐบาลเพื่อไทยนั้นก้าวร้าวและไม่อาจทานทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ที่จะมีต่อรัฐบาลเข้าไปอีก จากนี้ไปใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายใดๆ ของรัฐบาลนี้แม้เพียงเล็กน้อยหรือติติงชี้ข้ออ่อนหรือจุดที่อาจเกิดปัญหา ก็รับรองว่าเตรียมรับทัวร์และก้อนอิฐรองเท้าจากบรรดากองเชียร์นายแบก นางแบกได้เลย ซึ่งลำพังสถานการณ์ปัจจุบัน การเห็นต่างจากรัฐบาลแม้เพียงน้อยก็ถูกลากขึ้นมาโจมตีได้แล้ว

ในที่สุดก็จะทำให้รัฐบาลนี้อยู่ในสภาพที่ยากต่อการที่ใครจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ ถ้าผู้ที่คิดจะวิพากษ์วิจารณ์หรือติติงให้ความเห็นนั้นไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะรับรู้รับทราบข้อความอันดูหมิ่นเกลียดชังที่จะถาโถมเข้ามา แต่ส่วนใหญ่ก็คงจะเลือกสงวนตัวกลัวพิษเครื่องด่ากัน

สุดท้ายนี้ แม้จะเข้าใจได้ในเหตุผล แต่ก็อยากกล่าวว่า วัฒนธรรมนายแบก นางแบกที่เที่ยวจัดทัวร์เข้าให้กับใครก็ตามที่แสดงความไม่เห็นด้วยในแง่ใดแง่หนึ่งจากรัฐบาลนั้น ในที่สุดจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเอง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้คำตอบว่า ถ้าเช่นนี้แล้วจะเรียกร้องให้ใครช่วยลด ละ เลิก หรือปรับท่าทีได้

เพราะแม้หลายฝ่ายจะเชื่อว่า มีนายแบก นางแบกบางกลุ่มนั้นจะได้รับการจัดตั้งหรือดำเนินการหรือทำงานภายใต้ความรู้เห็นจากฝ่ายกลยุทธ์ของทางพรรค แต่ก็ต้องยอมรับว่านายแบก นางแบกส่วนมากนั้นก็เป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ถูกจัดตั้ง ก็เป็นคนธรรมดาๆ ที่เลือกและรักพรรคเพื่อไทยมานาน และรู้สึกว่าที่ผ่านมาทางพรรคไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบรรดานักวิชาการหรือนักวิพากษ์วิจารณ์เท่าที่ควร จนเกิดเป็นความหวาดระแวงที่พร้อมจะแปรมาเป็นความโกรธแค้นและตอบโต้ด้วยการด่าทอ เสียดสี 

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของพวกเขานั้นเป็นประสบการณ์อันเจ็บปวด ซึ่งนำมาซึ่งผลสุดท้ายอันเลวร้าย ก็ไม่แปลกที่คำวิจารณ์แม้เพียงเล็กน้อยก็ทนฟังยาก ทั้งก็ไม่มีใคร ปิดสวิตช์เครื่องด่าโดยธรรมชาติผู้คับแค้นใจกลุ่มนี้ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีนายแบก นางแบกส่วนไหนที่ทางรัฐบาล หรือทางพรรคนั้นพอจะพูดด้วยหรือแนะนำได้ อย่างน้อยขอแค่การแยกมิตรแยกศัตรู แยกคำวิจารณ์จากผู้ที่เคยเป็นมิตรกันมาก่อน หรือผู้ที่แน่ใจว่าไม่มีเจตนาร้ายต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้แล้วอาจจะปล่อยผ่านไม่ต้องไปจัดทัวร์ให้ เพื่อรักษาบรรยากาศที่ใกล้เคียงความเป็นประชาธิปไตยที่รัฐบาลที่มีที่มาจากประชาชนย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ 

ขอเพียงเท่านี้ก่อนก็คงพอ

 

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image