น่าขำมากกว่าน่ากลัว : โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อเร็วๆ นี้หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้สร้าง “วาทะทรัมป์” ว่า “ต่อไปนี้ อเมริกาจะยึดผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ” คำประกาศเช่นนี้ถือว่าเป็น “tautology” เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นมาตั้งนานแล้ว ไม่จำต้องประกาศ

ทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศเล็กหรือประเทศใหญ่ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นผิวขาว ผิวเหลือง หรือผิวสี ต่างก็ดำเนินนโยบายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศไปเพื่อคนส่วนใหญ่ หรือกลุ่มคนที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในประเทศนั้นเสมอ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น สุดแต่ว่าจะเป็นว่าอะไรคือประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาวของชาติ

ทุกประเทศทุกรัฐบาลก็จะอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพและประชาธิปไตยทั้งสิ้น อ้างไปถึงผลประโยชน์ของภูมิภาค อ้างผลประโยชน์ของโลก เป็นเช่นนั้นอยู่เสมอโดยทั่วกัน ทั้งที่จริงก็คือประโยชน์ของชาติตนมั่นคง ยิ่งนโยบายต่างประเทศของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ จีน และรัสเซียก็ยิ่งเห็นชัดเห็นง่าย

ถ้าจะนับตั้งแต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โลกก็แบ่งออกเป็น 2 ค่าย คือ ค่ายเสรีนิยม มีสหรัฐเป็นหัวหน้า กับค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยมีสหภาพโซเวียต รัสเซีย เป็นหัวหน้า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็สร้างภาพของอีกฝ่ายหนึ่งให้เป็นที่น่ากลัว เป็นอันตราย ทำให้ประชาชนของตนเกลียดกลัวอีกฝ่ายหนึ่งไปได้ตลอดชีวิต

Advertisement

ค่ายเสรีนิยมก็สร้างภาพว่า รัฐคอมมิวนิสต์นั้นมีลักษณะเหมือนรัฐปีศาจ รัฐเอาประชาชนมาเป็นทาส ทำงานเพื่อรัฐ สิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ตัวประชาชนก็เป็นของรัฐ การแต่งงานการมีบุตรก็เป็นไปตามคำสั่งและความต้องการของรัฐ

ประเทศไทย รัฐบาลเลือกที่จะอยู่ข้างฝ่ายเสรีประชาธิปไตย เหมือนๆ กับประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษและอเมริกา เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เว้นแต่สหภาพพม่าที่เลือกจะเป็นกลาง แต่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมแบบเดียวกับอินเดีย ส่วนประเทศในแถบอินโดจีนที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เลือกที่จะเป็นรัฐสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เพราะต้องการการสนับสนุนทางด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ จากค่ายคอมมิวนิสต์ทั้งจากสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อต้องการขับไล่ฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมออกจากประเทศ ในที่สุดก็ต้องทำสงครามกับสหรัฐ เพราะอเมริกากลัวคอมมิวนิสต์จนขึ้นสมอง สงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียต ตลอดจนสงครามเวียดนาม ที่เกิดขึ้นและดำเนินไปก็เพราะอเมริกาคิดว่าตนต้องทำสงครามดังกล่าวเพื่อ “ผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นหลัก”

ถ้าหากไปถามประธานาธิบดีสหรัฐทุกคน ตั้งแต่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ลินดอน บี.จอห์นสัน เรื่อยมาจนถึงบารัค โอบามา สหรัฐไม่เคยว่างเว้นจากการส่งทหารออกไปรบนอกประเทศทั่วโลกตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ละตินอเมริกา เอเชีย แอฟริกา เสียเงินเสียทองจากภาษีอากรและชีวิตของคนอเมริกันไปมากมายมหาศาล ทั้งนี้ก็คิดว่าเป็นการสูญเสียที่คุ้มค่าในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนชาวอเมริกัน

การจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ หรือ UNO แล้วเปลี่ยนมาเป็นสหประชาชาติ หรือ UN ที่มีฐานะเหมือนรัฐบาลโลก ที่มีคณะมนตรีความมั่นคงเป็นผู้ตัดสินใจและดำเนินการ บังคับให้เป็นไปตามมติหรือกฎบัตรสหประชาชาติ ก็เป็นโครงสร้างที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐและพันธมิตรคือ อังกฤษและฝรั่งเศส มากกว่าสหภาพโซเวียต เพราะสหรัฐไม่รับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นตัวแทนของประชาชนคนจีนทั้งหมด แต่ไปรับรองรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง ที่แพ้สงครามปลดปล่อย ที่หนีไปอยู่ไต้หวัน ให้เป็นรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนจีนทั้งหมด เพราะขณะนั้นอเมริกาเชื่อในทฤษฎี “โดมิโน” ว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้จะต้องล้มให้กับฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ถ้าอเมริกาไม่เข้ามาแทรกแซงปกป้อง

ความเชื่อของอเมริกาอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ เพราะเมื่อสงครามเย็นยุติลง เราจึงทราบว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไม่ได้ใหญ่โตอะไร ไม่มีทางที่จะชนะสงครามปลดปล่อยประเทศไทยได้อย่างที่คนไทยและคนอเมริกันเกรงกลัวเลย การดำเนินนโยบายการเมืองการทหารและนโยบายเศรษฐกิจ จึงต้องดำเนินไปในแนวทางที่จะเป็นประโยชน์กับสหรัฐ หรือผลประโยชน์สนองต่อความกลัวคอมมิวนิสต์ของคนอเมริกันทั้งนั้น

ทั้งๆ ที่คนอเมริกันกว่าร้อยละ 95-99 ไม่เคยรู้เลยว่า คอมมิวนิสต์คืออะไร ทั้งหมดก็รู้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มชนชั้นสูงที่เป็นชนชั้นนำ และเป็นผู้ชี้ทิศทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศของสหรัฐ ซึ่งก็เหมือนๆ กันทุกประเทศทั่วโลก

ในด้านการค้าและการลงทุน การเป็นผู้ชนะสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง โดยที่สหรัฐมิได้เป็นสนามรบ ทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เป็นผู้ที่ได้เปรียบเชิงเทียบที่สุดในโลกในเวทีการค้าและการลงทุน การจัดการให้มีการเปิดการค้าเสรีตามข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า หรือ GATT และพัฒนามาเป็นองค์การการค้าโลก หรือ WTO ในปัจจุบัน ประเทศที่ได้ประโยชน์ที่สุดในระยะแรกก็คือสหรัฐนั่นเอง หลังจากสินค้ายุโรปมีราคาแพงเกินไป

ต่อมาเมื่อสินค้าอเมริกาเริ่มแพงขึ้น เพราะมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนอเมริกันสูงขึ้นและเริ่มสูงกว่าคนยุโรป แต่ความที่อเมริกามีทรัพยากรมากมายมหาศาล มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีศักยภาพในทางการเกษตรมากมายมหาศาล จนต้องจำกัดจำนวนเกษตรกรและเนื้อที่เพาะปลูก เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาทั้งหลายในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตผลทางการเกษตรล้นตลาดจนเกษตรกรในประเทศเหล่านั้นอยู่ไม่ได้ ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าเสรีของแกตต์และองค์การการค้าโลกจึงไม่รวมสินค้าเกษตร ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จึงยังไม่ยอมเปิดตลาดการค้าเสรีสำหรับสินค้าเกษตรกรรม โดยมีสหรัฐเป็นผู้นำคัดค้านการเปิดตลาดเสรีเกษตรกรรม

ส่วนการเปิดตลาดเสรีสินค้าอุตสาหกรรมและบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดตราสารและตลาดการเงิน ประเทศอเมริกามีความได้เปรียบเพราะเป็นประเทศที่มีเงินทุนมากเมื่อเทียบกับแรงงาน ต่างกับประเทศกำลังพัฒนาที่มีแรงงานมาก เมื่อเทียบกับทุน ถ้าเปิดเสรีทั้งตลาดแรงงานและตลาดทุน ทุนจากอเมริกาและยุโรปก็ไหลมาหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา ในรูปของการลงทุนโดยตรง หรือ FDI หรือการลงทุนในตราสารการเงิน หรือ Portfolio Investment ได้

แต่ไม่เปิดตลาดแรงงานให้แรงงานจากประเทศกำลังพัฒนา ที่ได้ค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าเข้าไปทำงานในสหรัฐและประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีอัตราค่าจ้างแรงงานที่สูงกว่าได้ ซึ่งไม่น่าจะมีความเป็นธรรม

การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะปิดประเทศโดยการสร้างกำแพงกั้นระหว่างอเมริกากับเม็กซิโก ก็คงจะเหมือนกับ จักรพรรดิจิ๋นซี สร้างกำแพงเมืองจีนกั้นกองทัพมองโกล แต่กำแพงเมืองมะกันหรือกำแพงเมืองแยงกี้เป็นกำแพงกั้นชาวเม็กซิกันไม่ให้บุกเข้ามาหางานทำในอเมริกา ถ้าสร้างจริงๆ แล้วจะปิดกั้นได้แค่ไหนก็คอยดู จะเหมือนกำแพงเมืองเบอร์ลินหรือไม่ การสร้างกำแพงเพื่อกั้นไม่ให้คนข้ามเขตไม่ใช่ของใหม่อะไร

อเมริกาจะย้ายโรงงานที่นายทุนอเมริกันไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศละตินอเมริกา ยุโรป จีน และอาจจะรวมทั้งประเทศไทย ให้กลับไปสร้างงานในอเมริกา เป็นสิ่งที่น่าขำมากกว่าน่ากลัว

คนอเมริกันนั้นทำงานประณีตไม่เป็นแล้ว ทำได้แต่ของใหญ่ๆ หนักๆ เทอะทะ เหมือนใช้เท้าทำไม่ใช่ใช้มือทำ จนญี่ปุ่น เกาหลี และจีนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในสหรัฐและจ้างแรงงานสหรัฐทำ คนอเมริกันจึงเริ่มทำงานด้วยมือเป็น แต่ก็สายไปเสียแล้ว คงเหลือบริษัทผลิตรถยนต์อเมริกันไม่กี่บริษัทที่ผลิตรถยนต์ใช้ ส่วนเครื่องมือแพทย์ เครื่องใช้สำนักงานคอมพิวเตอร์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาละมุนภัณฑ์ เครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ ล้วนเป็นเทคโนโลยีต่อยอดโดยชาวเอเชีย โดยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีทั้งนั้น ส่วนอเมริกันชนมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ย เงินปันผล นิมิตสิทธิ์และลิขสิทธิ์ สิ่งเหล่านี้นับวันก็จะหมดอายุลงเรื่อยๆ

ธุรกิจการทำสงครามในฐานะผู้ขายอาวุธรายใหญ่ของโลก แต่เนื่องจากรัฐสภาสหรัฐและยุโรปออกกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชั่น คัดค้านการจ่ายเงินใต้โต๊ะ จึงทำให้กองทัพประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทยด้วย พากันหันไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รถถังยานเกราะ เรือดำน้ำ จากจีนและรัสเซียเป็นแถว เพราะจีนและรัสเซียยังไม่มีกฎหมายดังกล่าว

เมื่ออเมริกามีความได้เปรียบน้อยลงเรื่อยๆ ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ที่ความจริงควรจะเร่งออกไปลงทุนต่างประเทศ การจะปิดประเทศจึงน่าจะเป็นการฆ่าตัวตายของอเมริกา ทำสวนทางกับความเป็นจริงทางเศรษฐศาสตร์

ทรัมโปโนมิค จึงน่าขำมากกว่าน่ากลัว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image