การป้องกันตนเองที่เกินกว่าเหตุของรัฐบาลอิสราเอล
รัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลของหลายประเทศในยุโรป ขานรับคำกล่าวอ้างของอิสราเอลว่า การทิ้งระเบิดและการส่งรถถังและกำลังรบเข้าไปในฉนวนกาซานั้น เป็นการป้องกันตนเอง เพราะอิสราเอลถูกฮามาสโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,200 คน อีกประมาณ 200 คนถูกจับไปเป็นตัวประกัน การกระทำของฮามาสเป็นการก่อการร้าย เป็นความโหดเหี้ยมที่กระทำต่อพลเรือนที่ไม่มีอาวุธเข้าสู้ และประชาคมโลกต้องประณามการกระทำของฮามาสอย่างเต็มที่
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงพิมพ์คอลัมน์ที่วิจารณ์กรณีนี้ว่า “อิสราเอลเคืองอิหร่าน” แม้ว่าในทางการทูต อิหร่านพยายามเอาตัวออกจากความขัดแย้ง และระบุว่าตนมิได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการบุกโจมตีของฮามาสดังกล่าว แต่อิสราเอลคิดว่าอิหร่านยังสนับสนุนฮามาสและกลุ่มอิสลามิกจิฮัดของปาเลสไตน์อยู่ดี ดังนั้น การที่อิหร่านกล่าวว่ากำลังดำเนินการให้มีการปล่อยตัวประกันที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้น อิสราเอลถือว่าเป็นความหน้าซื่อใจคดของอิหร่าน ซึ่งเป็นตัวสร้างปัญหา อิสราเอลจึงไม่อาจยอมรับว่าอิหร่านจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
ต่อมาในวันที่ 16 พฤศจิกายน คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ให้มุมมองอีกมุมหนึ่งถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มุมมองนั้นมาจากราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ที่ 2 ของจอร์แดน พระองค์มีความเห็นว่า เหตุร้ายที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธสิทธิอันชอบธรรมของชาวปาเลสไตน์ จะว่าจอร์แดนต่อต้านอิสราเอลอย่างมากก็ไม่ใช่ เพราะในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จอร์แดนเป็นประเทศที่สองที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลในปี ค.ศ. 1994 ต่อจากอียิปต์ที่เป็นประเทศอาหรับประเทศแรกที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลในปี ค.ศ. 1979
ในการประชุมสันนิบาตอาหรับและองค์กรความร่วมมืออิสลาม 57 ประเทศเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน มีการเสนอให้คว่ำบาตรอิสราเอลรวมทั้งการตัดความสัมพันธ์ทางการทูต แต่มีประเทศ 6 ประเทศ คือ ซาอุดิอาระเบีย ยูเออี อียิปต์ โมร็อกโค มอริตาเนีย และ จอร์แดน ที่ไม่เห็นด้วยที่จะตัดความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ที่เห็นด้วยกันคือ ไม่ยอมรับการกล่าวอ้างของอิสราเอลว่ากระทำไปเพื่อปกป้องตนเอง เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติมีมติเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของอิสราเอล และเรียกร้องให้ยุติการจำหน่ายอาวุธให้อิสราเอล อันที่จริง อาวุธทันสมัยที่อิสราเอลมี ไม่ใช่ว่าจัดซื้อจัดหามาทั้งหมดโดยตรง ส่วนหนึ่งได้มาจากสหรัฐฯที่ให้การช่วยเหลือทางการทหารแก่อิสราเอลคิดเป็นมูลค่าปีละ 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 135,000 ล้านบาท
พระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ที่ 2 กล่าวว่า ได้เตือนอิสราเอลมานานเรื่องการละเมิดสิทธิของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงค์ ทรงย้ำว่าการที่ชาวยิวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงค์ และเข้าไปโจมตีชาวปาเลสไตน์นั้น เป็นการทำร้ายที่ซ้ำซาก ซึ่งอาจลุกลามในวงกว้าง และอาจฉุดภูมิภาคตะวันออกหลางลงสู่หุบเหวได้ พระองค์มีความเห็นว่า จะต้องไม่ใช้วิธีการทหารเข้าจัดการความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และฉนวนกาซาจะต้องไม่ถูกอิสราเอลตัดขาดจากดินแดนส่วนอื่นของปาเลสไตน์ มิฉะนั้นตะวันออกกลางจะวุ่นวายไม่รู้จบ
แน่นอนว่าชาวยิวทั้งในอิสราเอลและประเทศต่าง ๆ มีมุมมองที่ต่างออกไป หนังสือพิมพ์ The Times of Israel รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ชาวยิวที่มาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ตลอดจนผู้สนับสนุนอิสราเอลในสหรัฐฯ ต่างหลั่งไหลสู่เมืองหลวงวอชิงตัน ดี ซี เพื่อจะไปรวมตัวกันสนับสนุนอิสราเอลในวันที่ 14 พฤศจิกายน หนังสือพิมพ์ดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะมีผู้มาชุมนุมนับหมื่นคน ได้สัมภาษณ์ผู้จะไปชุมนุมที่เดินทางโดยรถบัสเป็นขบวนรถ 10 คันจากบอสตันสู่วอชิงตัน โดยถามว่าทำไมถึงต้องไปชุมนุม คำตอบที่ได้คือ “นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่เราทำได้จากที่นี้ เพื่อสนับสนุนประชาชนของเรา ที่กำลังต่อสู้อยู่ในอิสราเอล ซึ่งจริง ๆ แล้วคือการปกป้องอารยธรรมตะวันตกทั้งหมดนั่นเอง พร้อมทั้งต่อต้านลัทธิเกลียดชังยิว (antisemitism) ด้วย”
ในขณะที่มีการแสดงออกในสหรัฐฯ เพื่อหนุนช่วยอิสราเอล ได้เกิดการแสดงออกที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในประเทศตะวันตก มีรายงานจากหนังสือพิมพ์ The New York Times ว่า เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐกว่า 40 หน่วยงาน จำนวนกว่า 500 คน ได้ลงนามในหนังสือถึงประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพื่อประท้วงนโยบายสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ของเขา การประท้วงจากวงในได้เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษเช่นกัน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้านจำนวน 56 คน ได้ท้าทายเสียงส่วนใหญ่รวมถึงหัวหน้าพรรค โดยร่วมกันเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา มีผลทำให้รัฐมนตรีเงาของพรรคที่ร่วมเรียกร้องดังกล่าว ต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเงา
เวทีโต้เถียงที่สำคัญคือสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ แต่มติที่ได้จากเวทีนี้ไม่มีผลผูกพัน เพียงแต่บ่งชี้ความเห็นของประชาคมโลก มติผูกพันจะต้องมาจากคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งมีสมาชิกถาวรที่มีสิทธิยับยั้ง 5 ประเทศ และสมาชิกหมุนเวียนอีก 10 ประเทศ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม สมัชชาใหญ่ได้มีมติเรียกร้อง ‘การยุติการต่อสู้เพื่อมนุษยธรรม’ (humanitarian truce) ในทันที เพื่อเปิดทางการช่วยเหลือและคุ้มครองชีวิตพลเรือนและเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมในกาซา มติดังกล่าวได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน 121 เสียง (รวมทั้งไทย) มีเสียงคัดค้าน 14 เสียง และงดออกเสียง 44 เสียง
หลังการลงมติ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ปฏิเสธมติดังกล่าวโดยกล่าว “วันนี้เป็นวันแห่งความตกต่ำและน่าอับอาย” พร้อมทั้งยืนยันว่า อิสราเอลจะไม่หยุดปฏิบัติการ จนกว่าจะทำลายความสามารถในการก่อการร้ายของฮามาสให้หมดสิ้นไป และจนกว่าตัวประกันจะได้รับการปลดปล่อย ซึ่งวิธีเดียวที่จะทำลายกลุ่มฮามาสได้ก็คือ ถอนรากถอนโคนพวกเขา โดยการโจมตีทางอากาศ และการส่งกองกำลังเพื่อขับไล่พวกเขาออกจากอุโมงค์ และทำลายเมืองก่อการร้ายใต้ดิน ปฏิบัติการนี้จะดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน หลังจากนั้นกาซาจะมีการปกครองใหม่ที่ไม่เป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล โดยที่ฮามาสที่ถูกกำจัดไปจะไม่มีวันกลับมาปกครองดินแดนแห่งนี้อีก อิสราเอลไม่ต้องการกลับไปสู่ยุคมืด จึงต้องเอาชนะฮามาสอย่างเด็ดขาด
อิสราเอลเชื่อว่าต้องเอาชนะเท่านั้น เพราะการพ่ายแพ้แก่ฮามาส จะส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่เฉพาะในภูมิภาตะวันออกกลาง แต่จะรวมถึงสหรัฐฯและยุโรปที่จะเป็นรายต่อไป และจะถูกคุกคามเช่นเดียวกับที่อิสราเอลโดนมาแล้ว การก่อการร้ายจะกระจายไปทั่วภูมิภาคและทั่วโลก ซึ่งจะมีแต่ความขัดแย้ง ดังนั้น ทุกประเทศจึงจำเป็นต้องสนับสนุนอิสราเอลให้ได้รับชัยชนะในการสู้รบครั้งนี้
คราวนี้ลองมาฟังความเห็นของ Volker Turk ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาชาติดูบ้าง เขาได้ไปเยี่ยมเมืองราฟา ที่เป็นจุดผ่านแดนด้านอียิปต์ระหว่างฉนวนกาซากับอียิปต์เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน เมื่อกลับมาที่เมืองหลวงอัมมันของจอร์แดน เขาได้เล่าประสบการณ์ตรงอันน่าสะเทือนใจที่เขาพบเห็นที่โรงพยาบาลของราฟา ตลอดจนได้ยินการบอกเล่าเรื่องราวอันน่าเศร้าสลดจากเพื่อนร่วมงานของเขาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่ชาวกาซากำลังประสบ โดยเฉพาะเด็กและสตรี สุนทรพจน์ของเขาลงท้ายด้วยข้อเสนอดังนี้
“เราจำเป็นต้องมีการสืบสวนและสอบสวน หาความรับผิดรับชอบที่จริงจัง เพื่อยุติวัฏจักรความรุนแรงและการแก้แค้นที่กระทำต่อชุมชนทั้งชุมชน ในขณะที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในระดับชาติไม่ปรารถนาหรือไม่สามารถที่จะดำเนินการสืบสวนและสอบสวนดังกล่าวได้ และในขณะที่เรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีนัยสำคัญโดยเฉพาะนั้น กำลังถูกโต้แย้ง เราจำเป็นต้องมีการสืบสวนและสอบสวนระหว่างประเทศที่เป็นอิสระ
การคงสถานภาพเดิมไว้นั้นไม่อาจทนรับได้ เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของพลเรือน รัฐสมาชิกของสหประชาชาติที่มีอิทธิพลจำเป็นต้องทำงานให้หนักขึ้นกว่าแต่ก่อน เพื่อให้ภาคีความขัดแย้งหยุดยิง โดยไม่ชักช้า
หยุดความรุนแรง ให้หลักประกันความปลอดภัยแก่คนทำงานด้านมนุษยธรรม เปิดทางที่ปลอดภัยเพื่อให้ผู้ต้องการความช่วยเหลือทุกคนได้เข้าถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ต้องมั่นใจว่าทุกคนจะมีอาหารกินเพียงพอ มีน้ำสะอาดดื่ม ได้รับการรักษาพยาบาล และมีที่พักอาศัย ปล่อยตัวประกัน นำผู้กระทำผิดฐานละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
คำตอบต่อสถานการณ์นี้คือการยุติการยึดครอง และการเคารพอย่างเต็มที่ซึ่งสิทธิการกำหนดใจตนเองของชาวปาเลสไตน์ ดังที่ผมเคยกล่าวมาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เพื่อยุติความรุนแรง ต้องยุติการยึดครอง รัฐสมาชิกต้องทุ่มเทความพยายามที่จำเป็นทั้งปวงเพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนสำหรับชาวปาเลสไตน์และชาวอิสราเอลทุกคน”
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศระบุว่า แม้ในยามสงคราม จะต้องไม่มุ่งเป้าเข่นฆ่าพลเรือน และไม่ทำลายเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวกับการสู้รบ เช่น โรงพยาบาลและโรงเรียน แต่เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม เกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลอัลอาห์ลี ทำให้มีผู้เสียชีวิต ประมาณ 500 คน อิสราเอลและสหรัฐฯต่างยืนยันว่า เป็นฝีมือของฝ่ายติดอาวุธในกาซาเอง ขณะที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นผลจากการทิ้งระเบิดของอิสราเอล ต่อมาอิสราเอลส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ตอนเหนือของกาซา หลังประกาศให้ทุกคนอพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าว ทหารได้เข้าปิดล้อมกรุงกาซาที่มีพลเมืองหนาแน่น และเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ได้บุกเข้าไปในโรงพยาบาลอัลซีฟา ที่มีคนไข้ราว 700 คน เจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล 400 คน และคนที่มาอาศัยหลบภัยอีกประมาณ 3,000 คน
อิสราเอลยืนยันว่ามีกองกำลังฮามาสหลบซ่อนตัวอยู่ในโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของกาซาแห่งนี้ หลังการเข้าไปในโรงพยาบาล ได้ออกคลิปวิดิโอ แสดงให้เห็นว่ามีอาวุธปืนซ่อนอยู่ในห้องใต้ถุนของโรงพยาบาล ทหารบอกว่าได้นำอาหารสำหรับทารกและเวชภัณฑ์เข้าไปให้ หลังจากนั้นได้ออกข่าวว่าถอนกำลังออกไปแล้ว อย่างไรก็ดี ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ บีบีซี ยังแสดงให้เห็นว่าจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน ทหารอิสราเอลยังยึดครองโรงพยาบาลพร้อมทั้งปิดล้อมบริเวณโดยรอบอยู่ ทางฝ่ายฮามาสออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่ามีกองกำลังฝ่ายตนภายในโรงพยาบาล ซึ่งถ้ามีก็ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเช่นกัน
สถิติผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาได้เพิ่มขึ้นกว่า 11,000 คนแล้ว ในจำนวนผู้ตาย มีเด็กเกือบ 5,000 คน นักข่าวกว่า 40 คน และเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ 102 คน เจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำงานในโครงการ UNWRA หรือสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ ซึ่งสหประชาชาติมอบอาณัติให้ช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นในฉนวนกาซา อันเป็นผลจากการก่อตั้งรัฐอิสราเอลเมื่อ 75 ปีก่อน ปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยหนีการโจมตีของอิสราเอล มาอยู่ที่ศูนย์พักพิง 150 แห่งของ UNRWA นับแสนคน และผู้ลี้ภัยที่ยังอาศัยอยู่ในชุมชนอีกนับแสนคนเช่นกัน ความช่วยเหลือดังกล่าวจะครอบคลุมด้านอาหาร สิ่งของอุปโภคบริโภค ที่พักพิง และการคุ้มครองด้านสังคม แต่ศูนย์พักพิงดังกล่าวยังไม่ปลอดภัยจากการทิ้งระเบิดของอิสราเอล การเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ UNRWA ถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ ด้วยเหตุนี้ องค์การสหประชาชาติจึงให้สำนักงานทุกแห่งทั่วโลก ลดธงครึ่งเสาเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน และจัดพิธียืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาทีในเวลา 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสำนักงานแต่ละแห่ง
ในการจัดพิธีไว้อาลัยที่สำนักงานใหญ่กรุงนิวยอร์ก อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า เราจะไม่ลืมพวกเขา เจ้าหน้าที่ผู้เสียชีวิตมีทั้ง ครู เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข สูตินารีแพทย์ นักจิตวิทยา วิศวกร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน เขาเหล่านี้ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงคราม ท่ามกลางความขาดแคลน ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา พลังงาน รวมถึงอาหาร และประสบความยากลำบากพอ ๆ กับผู้ประสบภัยสงครามคนอื่น ๆ
ในส่วนของตัวประกัน ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า การเจรจาให้ฮามาสปล่อยตัวประกันมีความคืบหน้า และเชื่อว่าการปล่อยตัวกำลังจะเกิดขึ้น ถ้อยแถลงดังกล่าวสอดคล้องกับกระแสข่าวที่ว่า อิสราเอลเสนอให้ฮามาสปล่อยตัวประกันผู้หญิงและเด็ก 100 คน แลกกับการที่อิสราเอลปล่อยตัวชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังในเรือนจำ เป็นเด็ก 200 คนและผู้หญิง 75 คน
การบุกของทหารอิสราเอลกำลังจะขยายออกจากตอนเหนือของกาซาลงไปทางใต้ โดยอิสราเอลประกาศให้ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ 4 แห่งทางตอนใต้ อพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย
ในที่สุด คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติสามารถมีมติในเรื่องสงครามกาซา หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวประมาณ 4 ครั้งอันเป็นผลจากการใช้สิทธิยับยั้งหรือวีโต้ของประเทศมหาอำนาจ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ประเทศมอลตาได้เสนอญัตติเข้าสู่การประชุม ซึ่งผ่านเป็นมติเมื่อมีรัฐสมาชิกในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ สนับสนุน 12 ประเทศ มติดังกล่าว “เรียกร้องให้ขยายกรอบเวลาการพักรบเพื่อมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน และขยายแนวกันชนไปทั่วทั้งกาซา ในจำนวนวันเวลาที่เพียงพอสำหรับเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงพลเรือนในดินแดนที่ถูกปิดล้อมแห่งนี้” สามประเทศที่งดออกเสียงครั้งนี้ ได้แก่ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และรัสเซีย จะต้องดูต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดการพักรบขึ้นจริงอย่างเร่งด่วนตามมติดังกล่าว
มาถึงประเด็นที่เป็นหัวข้อของบทความนี้ ผมมีความเห็นว่า ข้ออ้างของอิสราเอลที่ประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน ว่าการโจมตีฮามาสแต่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพลเรือนนั้น เป็นการ “ป้องกันตนเอง” ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้น การกระทำของอิสราเอลนั้นเกินกว่าเหตุไปมาก จริงอยู่ อิสราเอลเป็นผู้เสียหายจากการโจมตีของฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แต่การกระทำอันโหดร้ายแสดงถึงการแก้แค้นมากกว่าการป้องกันตนเอง อันที่จริง ประเทศตะวันตกน่าจะอ้าง “สิทธิในการปกป้องคุ้มครอง” (rights to protect) ที่พึงมีให้แก่ชาวปาเลสไตน์ที่ถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของการมีชีวิต และกำลังตกอยู่ในอันตรายมา 40 วันแล้ว ส่วนการช่วยเหลืออิสราเอลในการปกป้องตนเองอย่างชอบธรรมนั้น ประเทศตะวันตกได้ทำมาโดยตลอด แต่ความช่วยเหลือนี้กำลังถูกใช้อย่างไม่ชอบธรรม
ในประเด็นนี้ ขออ้างถึงคำกล่าวของฟรานเชสกา อัลบานีส ทนสยความชาวอิตาลี ปัจจุบันเป็นผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง เธอกล่าวแก่สโมสรนักข่าวแห่งชาติ ของออสเตรเลียเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนว่า “อิสราเอลไม่สามารถอ้างสิทธิในการป้องกันตนเองได้ เพราะฉนวนกาซาเป็นดินแดนที่อิสราเอลยึดครองอยู่” และการยึดครองของอิสราเอล ทั้งฉนวนกาซาและเวสต์แบงค์ เป็นการฝ่าฝืนมติของสหประชาชาติอย่างชัดเจน
ขอจบด้วยโน้ตที่เป็นความหวังสักเล็กน้อย บริเวณทางตะวันออกของเมืองโกลกาตาของอินเดีย เคยมีชาวยิวอาศัยในสมัยที่อังกฤษปกครองอยู่สามถึงห้าพันคน และมีสุเหร่ายิว 5 แห่ง แต่ปัจจุบัน ประชากรที่นับถือศาสนายูดาย์มีเพียงยี่สิบคน และสุเหร่ายิวลดลงเหลือ 3 แห่ง สุเหร่ายิวเหล่านี้อยู่ในการดูแลรักษาอย่างดีของชาวมุสลิมในพื้นที่ และการสู้รบในฉนวนกาซา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ยิว-มุสลิม แต่อย่างใด มิใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ไม่ชี้หรือไม่สะเทือนใจไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อในภราดรภาพยิว-มุสลิมที่ดำรงสืบเนื่องมายาวนานแล้วมากกว่า
โคทม อารียา