
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
การเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย มีเหตุจากการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นประวัติศาสตร์คนกลุ่มเดียว คือ “ชนเชื้อชาติไทย” (ทั้งๆ ในโลกนี้เชื้อชาติไม่มีจริง และนานาชาติยกเลิกแล้วเรื่องเชื้อชาติ ยกเว้นกลุ่มเผด็จการรวบอำนาจรวมศูนย์ใช้หลอกประชาชน)
ดังนั้นหากต้องการเข้าใจจริงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องสยามและประวัติศาสตร์สยาม ตามพระราชดำรัส ร.5 ดังนี้
“กรุงสยามเป็นประเทศแยกกันบ้างบางคราว รวมกันบ้างบางคราว ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ปกครองก็ต่างชาติกันบ้าง ต่างวงษ์กันบ้าง”
“เราจะค้นหาข้อความเรื่องราวของประเทศสยาม ไม่ว่าเมืองใดชาติใดวงษ์ใดสมัยใด รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวของประเทศสยาม”
[พระราชดำรัส ร.5 ทรงเปิดโบราณคดีสโมสร ราว 116 ปีที่แล้ว หรือเมื่อ พ.ศ.2450]
จิตร ภูมิศักดิ์ เคยอธิบายเรื่องนี้ไว้นานแล้ว จะคัดมาบางตอน ดังนี้
ชนชาติ, ภาษา, อักษร เป็นเรื่องของพื้นฐานทางด้านสมาชิกของสังคมหรือรัฐ. แต่มิได้ชี้ขาดกำหนดขอบเขตของสังคม กล่าวคือมิได้กำหนดรัฐ.
รัฐเป็นโครงสร้างเบื้องบนที่กำหนดขึ้นโดยอำนาจทางเศรษฐกิจ.
เรื่องของชนในรัฐจึงเป็นเรื่องของประชาชาติ ไม่ใช่ชนชาติ. ชนชาติหาได้มีบทบาทกำหนดขอบเขตของรัฐไม่.
ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องรัฐกับชนชาติหรือเชื้อชาติ จึงมักจะเอียงกระเท่ไปศึกษาเรื่องราวของเชื้อชาติ, ศึกษาประวัติของเชื้อชาติ แทนการศึกษาประวัติศาสตร์แห่งสังคมในรัฐ.
ผลก็คือ พากันบ้าคลั่งเชื้อชาติ (Racialism) หรือเป็นนักลัทธิคลั่งชาติ (Chauvinism) คิดแต่จะไปรวบเอาชนเชื้อชาติเดียวกันภายนอกประเทศ มารวมกับประเทศตน หรือคิดแยกชนเชื้อชาติตนไปรวมกับประเทศอื่นที่มีเชื้อชาติเดียวกัน ให้วุ่นวายไปหมด.
ถ้าคนไทยก็คิดจะรวบเอารัฐชานซึ่งเป็นพวกไทใหญ่ และไตลื้อสิบสองปันนา ตลอดไปจนถึงผู้ไทในเวียดนามเหนือ; ชาวลาวก็คิดจะรวบเอาภาคอีสานของไทย; ชาวเขมรก็คิดจะรวบเอาดินแดนฟากใต้แม่น้ำมูล; ชาวพม่าก็คิดจะรวบเอาดินแดนกะเหรี่ยงทางด้านตะวันตก; ชาวมลายูก็คิดจะรวบเอาดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้ของไทย และหลายๆ ประเทศก็เป็นไปในทำนองนี้, โลกจะเป็นอย่างไร? ก็ต้องทำสงครามเพราะลัทธิคลั่งชาติกันเรื่อยไป และก็ไม่มีวันจะตกลงอะไรกันได้.
นี่แหละคือผลร้ายของการเรียนประวัติศาสตร์โดยวิธีผิดๆ ที่พวกฝรั่งถ่ายทอดทิ้งไว้ให้
นั่นคือ แทนที่จะเรียนประวัติศาสตร์ของสังคมไทยที่อยู่ภายในการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจและการเมืองเดียวกัน ซึ่งสังคมนี้ประกอบขึ้นด้วยหลายชนชาติอันมีไทย ลาว เขมร มลายู ฯลฯ เรากลับถูกพวกฝรั่งจูงให้ไปมุ่งเรียนแต่ประวัติศาสตร์ของชนเชื้อชาติไท-ไต, ไปสืบสาวราวเรื่องเรียนเรื่องของสังคมน่านเจ้าในเขตยูนนานของประเทศจีนเสียเป็นคุ้งเป็นแคว แล้วมาเริ่มศึกษาประวัติของชนชาติไทยในแหลมทองเอาเมื่อสมัยสุโขทัยและศรีอยุธยา
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกต้องจะต้องเริ่มกันใหม่ นั่นคือศึกษาประวัติความเป็นมาแห่งสังคมบนผืนดินอันเป็นเอกภาพผืนนี้
ศึกษาย้อนขึ้นไปตามลำดับ จากอยุธยาไปสู่ละโว้, พิมาย, สุโขทัย, โยนก, ศรีธรรมราช, ไชยาหรือศรีวิชัย, จานาศปุระ, ทวารวดี, พนม หรือฝูหนาน ฯลฯ
ศึกษาให้ทราบว่าสังคมบนเอกภาพแห่งดินแดนนี้พัฒนาขึ้นมาจากลักษณะใด มาสู่ลักษณะใด มีประวัติการณ์ของชนชาติใดมาบ้างบนผืนแผ่นดินนี้ และทั้งหมดนี้รวมกันคือประวัติศาสตร์ของประชาชาติไทย อันประกอบด้วยหลายชนชาติ และผ่านยุคสมัยมาหลายสมัย บางสมัยก็ชนชาตินี้เป็นชนชั้นปกครอง บางสมัยก็ชนชาตินั้นเป็น ชนชั้นปกครอง;
ส่วนชนชาติใดอพยพมาจากที่ไหนนั้น เป็นเพียงส่วนประกอบทางตำนานอันเป็นข้อปลีกย่อยเป็นเรื่องของมานุษยชาติวิทยาเท่านั้น.
การศึกษาด้วยทรรศนะเช่นนี้เท่านั้น จึงจะได้รับความรู้ที่เป็นประวัติศาสตร์แห่งสังคมในรัฐเอกภาพหนึ่งๆ ที่แท้จริง และจะไม่ก่อให้เกิดลัทธิคลั่งชาติหรือหลงเชื้อชาติ อันนำมาซึ่งความเพ้อฝันแผ่อิทธิพล หรือน้อยเนื้อต่ำใจคิดแบ่งแยกเอกภาพ. ทั้งนี้ เพราะ
ประวัติศาสตร์ที่ศึกษาในแนวนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์ของสังคมที่ทุกชนชาติเป็นเจ้าของ, เป็นผู้เคยมีบทบาทมาแล้ว, และก็ยังจะมีบทบาทต่อไปอีกในอนาคตภายในเอกภาพแห่งดินแดนนี้. ทุกชนชาติได้เคยมีหุ้นส่วนในดินแดนที่เป็นเอกภาพนี้มาแล้วแต่โบราณ, มีหุ้นส่วนในการสร้างสังคมนี้มาแล้วแต่โบราณ และก็ยังจะมือยู่ต่อไป.
เอกภาพของรัฐหรือสังคม เกิดจากพื้นฐานเศรษฐกิจและความไหวตัวทางการเมือง มิได้เกิดขึ้นจากหรือกำหนดขึ้นจากเชื้อชาติ นี่เป็นความจริงที่เราจะต้องปลูกฝัง.
เรื่องที่คิดจะกำหนดเอกภาพของรัฐหรือสังคมขึ้นจากเชื้อชาตินั้นเป็นเรื่องของความเพ้อฝัน ที่ไม่อาจเป็นจริงและไม่เคยเป็นความจริงมาก่อนเลยในอดีต. ความคิดอย่างนั้นขัดต่อความจริงของชีวิต เพราะชีวิตในสังคม รวมศูนย์กันด้วยเศรษฐกิจและการเมือง มิใช่ด้วยเชื้อชาติ. ความคิดอย่างนั้นรังแต่จะก่อให้เกิดความหายนะแก่มนุษยชาติทุกเชื้อชาติดังเช่นลัทธินาซีของฮิตเลอร์เคยก่อมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น.
เอกภาพของดินแคนและสังคมที่เป็นประเทศไทยทุกวันนี้ เป็นผลิตผลสืบทอดลงมาจากการไหวตัว, ต่อสู้, สร้างสรรค์ ของชนหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่. ชนเหล่านี้ได้ไหวตัว ต่อสู้ สร้างสรรค์ มาตั้งแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ คือมีประวัติการณ์มาตั้งแต่สมัยหินดังที่เราได้พบร่องรอยอยู่มากมายหลายแห่งทั่วประเทศ. แล้วทำไมเราจึงจะไปตัดทุกอย่างทุกชนชาติทั้งหมf, เรียนกันแต่ประวัติการณ์ของชนชาติเดียว.
แทนที่เราจะเริ่มเรียนประวัติการณ์ของสังคมบนผืนแผ่นดินนี้ตั้งแต่สมัยหิน, เรากลับหันหลังให้เสียหมดสิ้น แล้วเดินทางออกนอกประเทศไปเรียนประวัติการณ์ของสังคมอื่น เป็นต้นว่า น่านเจ้า กันเป็นวรรคเป็นเวร? นี่เป็นประวัติของเชื้อชาติ, ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของสังคมซึ่งหล่อหลอมขึ้นที่นี่ พัฒนาขึ้นที่นี่ มีชนชาตินั้นผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านออกไป อยู่ที่นี่.
[ปรับปรุงใหม่บางตอนจากหนังสือ ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2547 หน้า 173-181)
- ประวัติศาสตร์เครือญาติและเครือข่ายการค้าอุษาคเนย์
ไม่มีไทยแท้ เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ เพราะความเป็นคนไทยมาจากชาวสยามซึ่งเป็นลูกผสมหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ในภูมิภาคอุษาคเนย์
รัฐบาลไทยควรสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอุษาคเนย์ (SEA) ด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนไทยที่ผสมกลมกลืนจากทุกชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์ (และในโลก) รวมทั้งวัฒนธรรมไทยก็เป็น “วัฒนธรรมร่วม” ของอุษาคเนย์
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์โบราณ ไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบล่าเมืองขึ้นที่หมายถึงทำสงครามยึดดินแดนฝ่ายตรงข้าม แล้วส่งคนของตนไปปกครองเมืองขึ้น
แต่ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์โบราณ มีความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบเครือญาติ หมายถึงเจ้าเมืองหนึ่งส่งลูกสาวเป็นเมียของอีกเจ้าเมืองหนึ่ง ทำให้เจ้าเมืองทั้งสองเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน บางทีเจ้าเมืองหนึ่งมีลูกสาวหลายคนก็ส่งไปเป็นเมียเจ้าเมืองหลายแห่ง ซึ่งเท่ากับมีเครือญาติหลายเมือง และต่างเมืองก็ทำเหมือนๆ กันทั่วทั้งภูมิภาคเป็นกลุ่มๆ ไป ส่งผลให้เกิดการประสมประสานทางชาติพันธุ์และสังคมวัฒนธรรม
ข้อดีอย่างยิ่งของประวัติศาสตร์ไทยตามหลักฐานเป็นจริงเรื่องความสัมพันธ์แบบเครือญาติในอุษาคเนย์มีอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
(1.) คนไทยเข้าใจข้อมูลจริง ในความเป็นมาแท้จริงของตนเองและของเพื่อนบ้าน ตามหลักฐานวิชาการที่มีจริงและพบจริง ทำให้ลดอคติต่อเพื่อบ้านซึ่งล้วนได้จากประวัติศาสตร์บาดหมางที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งโดยชาวยุโรป แล้วชนชั้นนำรับมาใช้มอมเมาคนไทย หากจะเหลือตกค้างในความทรงจำแต่จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดจะหมดไปเอง
(2.) โน้มน้าวและเหนี่ยวนำประเทศเพื่อนบ้านให้ยอมรับการมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาร่วมกันแบบเครือญาติ แล้วพัฒนาประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศเพื่อลด “อคติ” ทางประวัติศาสตร์ต่อกันและกัน ซึ่งจะนำไปสู่การลดความบาดหมางในปัจจุบันเพื่อเข้าสู่สันติภาพถาวรต่อไปข้างหน้า
(3.) ความมั่นคงและมั่งคั่งทางการตลาดปัจจุบัน สนองทุกประเทศถ้วนหน้า
ประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์เพื่อนบ้าน ที่ใช้งานราว 100 ปีผ่านมา เชื่อถือตามแนวทางการศึกษาค้นคว้าและสันนิษฐานของชาวยุโรปสมัยล่าอาณานิคม แม้จะศึกษาด้วยตนเองบ้างไม่มากก็ค้นคว้าตามแนวทางทั่วไปที่ชาวยุโรปวางไว้ ซึ่งเป็นอันตรายใหญ่หลวงแก่การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยและเพื่อนบ้าน ดังนั้นนักปราชญ์ชาวยุโรป-ดี.จี.อี ฮอลล์ เคยเขียนในคำนำหนังสือประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่า “พวกฝรั่งเศสรุ่นก่อน เขียนประวัติศาสตร์เอเชียเพื่อประโยชน์ของชาวยุโรป” (อ้างในหนังสือ ข้อเท็จจิงว่าด้วยชนชาติขอม ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ. 2547 หน้า 151) ซึ่งสร้างความบาดหมางทั่วไปดังรู้กันอยู่แล้ว