ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
‘นายกฯ’กับปีใหม่
ความเป็นปกติเรื่องหนึ่งสำหรับช่วงต่อระหว่างปีเก่าเข้าปีใหม่จะต้องมีการประเมินกันว่า ปีที่ผ่านมามีอะไร และปีใหม่จะมีความหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อประเทศเดินหน้าไปด้วยรัฐบาล และรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ
นายกฯเศรษฐา ทวีสิน จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นเป้าถูกประเมิน และคาดหวัง และแน่นอนว่าจะต้องมีมุมมองทั้งในด้านบวกและด้านลบ อันเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่จะวิเคราะห์เรื่องราวไปตามทัศนคติส่วนตัว ความหลากหลายและแตกต่างทางความคิดจึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
มีวิธีการประเมินผลงานของนายกฯเศรษฐาแบบหนึ่งที่น่าสนใจคือ มีการนำไปเปรียบเทียบกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า
แน่นอนอีกเช่นกัน เมื่อจับมาชนเพื่อเทียบกันเต็มๆ แบบนี้จะต้องมีความเห็น 2 ฝ่าย ที่ตรงกันข้ามกันสิ้นเชิง ด้วยต่างฝ่ายต่างมีข้างที่เลือกแล้วในใจ
ทั้งที่รู้กันอยู่ลึกๆ ในใจว่า การประเมินแบบเลือกตั้งไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย เพราะเมื่อยืนอยู่ฝ่ายหนึ่งด้วยเหตุผลที่เห็นชัดเจนว่าปรุงแต่งขึ้นมาจากความเป็นฝ่าย เป็นข้าง ย่อมถูกเมินเฉย หรือถึงขั้นต่อต้านจากอีกฝ่ายที่เลือกอีกข้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งผู้ที่มีความคิดแบบกลางๆ ก็จะไม่รู้สึกถึงประโยชน์อะไรกับการประเมินแบบนั้น
อาจจะมีอยู่บ้างที่สำหรับผู้ที่มีจิตใจแบบพร้อมจะคิดแบบ “โลกสวย” ซึ่งจะแสดงออกแบบว่า “ไม่ว่าจะเป็นความคิดในทางดีหรือทางร้ายล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ ใครมองดีก็ถือเป็นกำลังใจให้ทำดีต่อไป ใครมองร้ายถือว่าเป็นการเตือนในประโยชน์ในการปรับปรุงต่อไป”
แต่ “โลกสวย ก็คือโลกสวย” ในความเป็นจริงแล้ว เห็นได้ไม่ยากว่าใครประเมินด้วยทัศนคติแบบไหน และเป็นธรรมชาติของคนจะไม่รับ หรือรับไม่ได้กับการถูกมองด้วยอคติ
แม้กระทั่งเห็นว่าเป็นการมองด้วยเจตนาเอาอกเอาใจก็ยังมีน้ำหนักน้อยในเชิงคุณค่า
ที่สุดแล้วการประเมินอย่างเข้าใจภาวะแวดล้อม และเจตนาความตั้งใจในการสร้างผลงาน เพื่อมองให้เห็นอุปสรรคและปัญหาอย่างสะท้อนความเป็นจริงต่างหากที่น่าจะมีน้ำหนักของคุณค่ามากกว่า
นายกฯเศรษฐาทำงานมา 3 เดือนกว่าๆ ที่เห็นชัดเจนคือความทุ่มเท มีความเพียรแบบไม่รู้หยุดรู้หย่อนที่จะจัดการแก้ปัญหา และหาทางพัฒนาประเทศให้เป็นอนาคตที่มีความหวังของประชาชน
ที่น่าปลาบปลื้มยินดีคือ ความคิดความอ่านต่อปัญหา หรือเรื่องราวต่างๆ รวมไปถึงวิชั่นและวิธีการในการทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นหลักการและความคิดที่เฉียบแหลมด้วยสติปัญญาระดับที่เชื่อมั่นได้ว่าหากทำสำเร็จตามที่นำเสนอไว้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
แต่อย่างว่า ความคิด และการนำเสนอ แม้จะเป็นความหวังได้มากแค่ไหน เมื่อเป็นที่รู้กันว่าการทำให้เกิดเป็นผลงานอย่างเป็นรูปธรรมได้ จะต้องถึงพร้อมด้วยกลไกที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้เป็นตามความคิดและการนำเสนอ
เมื่อเป็นที่รับรู้กันว่า “ระบบราชการ” ซึ่งเป็น “กลไกในการจัดการให้เป็นไปตามนโยบาย” นั้นเป็นอย่างไร มีการสร้างระบบที่ก่อความติดขัด เชื่องช้า และข้อจำกัดไว้มากมายแค่ไหน และลองเอา “ความเทอะทะและล้าสมัย เต็มไปด้วยขั้นตอนที่ไม่เอื้อต่อความรวดเร็วในการจัดการ” มาใส่เข้าไปใน “วิชั่นและวิธีการที่นายกฯเศรษฐาพยายามชี้ทางให้” เพื่อให้เห็นและเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ความเข้าใจว่าการทำตามวิธีการบริหารสมัยใหม่ เปรียบเทียบกับการปล่อยให้งานเดินไปตามกลไกราชการที่ล้มเหลวในการปฏิรูปนั้น ทำให้เห็นอะไร
การมองเห็นความชาญฉลาดของการกำหนดนโยบาย ที่ต้องติดขัดเพราะความเคยชินในขั้นตอนของการจัดการ ทำให้ไม่เป็นไปตามที่คิด
ย่อมเป็นวิธีประเมิน และตั้งความหวังที่มีน้ำหนักต่อคุณค่าในการนำไปใช้ประโยชน์มากกว่าแบบที่เอาแต่มองอย่างตั้งอกตั้งใจเข้าข้าง เอาใจ หรือคิดแบบจะเห็นต่างต่อต้าน
และอาจบางที การมองเห็นว่า “การปฏิรูป การเปลี่ยนโครงสร้างทั้งความหลักคิด วิธีการ เลยถึงส่วนประกอบของทีมงาน” นั้น น่าจะเป็นประโยชน์ต่อความสำเร็จของงานมากกว่า