ผู้เขียน | ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ |
---|
สะพานแห่งกาลเวลา : มนุษย์กับสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมส่งผลต่อมนุษย์มากอย่างเหลือเชื่อ อาจเป็นเพราะสิ่งที่แวดล้อมอยู่รอบๆ ตัวเราเป็นเครื่องกำหนดวิถีการดำรงชีวิตของเราไม่มากก็น้อย และอาจเป็นไปโดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว
รายงานผลการศึกษาวิจัยด้วยการเฝ้าติดตามสังเกตการณ์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์เผยแพร่ใน the journal Environmental Health เมื่อไม่นานมานี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
งานวิจัยดังกล่าวเป็นผลงานของทีมวิจัยชาวเบลเยียม นำโดย ศาสตราจารย์ ทิม นอว์รอท นักวิชาการด้านระบาดวิทยาเชิงสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยฮาสเซลท์ ประเทศเบลเยียม กับแพทย์หญิง ฮานน์ สเลอรส์ และคณะ
ข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยเชิงสังเกตการณ์ในครั้งนี้ก็คือ เด็กๆ ที่มีพื้นที่สีเขียวอยู่ใกล้บ้าน มีสภาพของกระดูกที่แข็งแกร่งกว่าเด็กๆ ในวัยเดียวกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของเด็กๆ เหล่านั้นต่อไปจนตลอดชีวิต
ทีมวิจัยพบว่า เด็กๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ซึ่งอาณาบริเวณโดยรอบมีพื้นที่ทางธรรมชาติ อาทิ สวนสาธารณะ ฯลฯ ประกอบอยู่ด้วยในสัดส่วนระหว่าง 20-25 เปอร์เซ็นต์ จะมีกระดูกที่แข็งแรงกว่าเด็กๆ โดยทั่วไป เทียบได้กับว่ามีกระดูกเติบโตเร็วกว่าตามธรรมชาติถึงครึ่งปี
ในขณะเดียวกัน เด็กๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะมีความหนาแน่นของมวลกระดูกต่ำ (very low bone density) น้อยลงมากถึง 65 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไป
ในทางการแพทย์นั้นความแข็งแรงของกระดูกจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงช่วงวัยรุ่น หลังจากนั้นระดับความแข็งแรงของกระดูกก็จะหยุดนิ่ง พออายุเริ่มเข้า 50 ปี ความแข็งแรงของกระดูกดังกล่าวก็จะเริ่มเสื่อมลง
ดังนั้น การส่งเสริมให้กระดูกมีความแข็งแรงตั้งแต่ยังเป็นวัยเด็ก หรือวัยรุ่น จึงมีความหมายอย่างมากต่อสุขภาพของบุคคลคนนั้นไปจนตลอดชีวิต
พูดอีกอย่างก็คือ ความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้โดยง่ายเพราะอยู่ใกล้บ้าน ที่ส่งผลให้กระดูกของเด็กๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แข็งแรงกว่าเด็กทั่วไปนั้น จะช่วยส่งผลป้องกันภาวะกระดูกร้าวและภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis) เมื่อมีอายุมากขึ้นได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
ทีมวิจัยเชื่อว่า การที่พื้นที่สีเขียวใกล้บ้านมีส่วนเชื่อมโยงกับความแข็งแรงของกระดูกของเด็กๆ นั้นเป็นผลมาจากการที่เด็กๆ ที่มีพื้นที่ธรรมชาติอยู่ใกล้บ้านมีกิจกรรมในเชิงกายภาพ อย่างเช่น การวิ่งเล่น การปีนป่ายต้นไม้ หรือจับกลุ่มเล่นการละเล่นต่างๆ ที่จะกระตุ้นให้กระดูกเจริญเติบโต มากกว่าเด็กที่อยู่ในเขตเมือง ซึ่งไม่มีพื้นที่ว่าง หรือพื้นที่สีเขียวอยู่ใกล้เคียงเลย
ข้อที่น่าสังเกตยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ยิ่งเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่นอยู่ด้วย จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้การเติบโตของกระดูกมีสูงที่สุด เนื่องจากพื้นที่ในลักษณะดังกล่าวดึงดูดใจให้เข้าไปใช้ชีวิต มีกิจกรรมทางร่างกายได้ดีกว่าพื้นที่โล่งทั่วๆ ไปนั่นเอง
ศาสตราจารย์ นอว์รอท ระบุว่า ยิ่งมวลกระดูกในวัยเด็กแข็งแรงมากเท่าใด คนคนนั้นก็จะยิ่งมีความสามารถ มีศักยภาพในช่วงชีวิตต่อๆ มามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในเชิงสาธารณสุขที่ได้จากการวิจัยนี้ก็คือ
“นักวางผังเมือง ออกแบบผังเมือง สามารถใช้ผังเมืองในการสร้างกระดูกที่แข็งแรงกว่าให้กับเด็กๆ ได้ และจะส่งผลดีไปจนตลอดชีวิต”
อันที่จริงอิทธิพลของพื้นที่สีเขียวต่อเด็กๆ นั้นเคยมีผู้ค้นคว้าวิจัยมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ งานวิจัยหลายชิ้นเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่า พื้นที่สีเขียวที่เด็กๆ เข้าถึงได้ง่าย อำนวยให้เกิดผลประโยชน์หลายอย่างในแง่พัฒนาการของเด็ก เช่น ทำให้โอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนลดต่ำลง, ความดันลดลง, ไอคิวเพิ่มสูงขึ้น และมีสุขภาพจิตและสุขภาพทางอารมณ์ดี เป็นต้น
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีติดตามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กมากกว่า 300 คนในเขตแฟนเดอรส์ ในเบลเยียม ซึ่งภูมิประเทศมีทั้งที่เป็นเขตเมือง, เขตชานเมืองและพื้นที่ชนบท เด็กๆ เหล่านี้จะได้รับการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกโดยใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ในช่วงตั้งแต่ 4 ขวบจนถึง 6 ขวบ โดยนำเอาปัจจัยอื่นๆ ตั้งแต่เรื่องน้ำหนัก, ความสูง, ชาติพันธุ์ และระดับการศึกษาของผู้เป็นมารดามาเป็นปัจจัยพิจารณาร่วมด้วย
ที่น่าสนใจก็คือ ทีมวิจัยได้ตรวจสอบปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น ปริมาณการดูโทรทัศน์, การรับประทานอาหารเสริม, และรายการอาหารที่บริโภคในแต่ละวัน นำมาพิจารณาประกอบด้วย
แต่ไม่พบว่าปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อมวลกระดูกอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด