คนทุกชาติพันธุ์ เป็นบรรพชนคนไทย โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายบริเวณสองฝั่งโขงในพิธีกรรมแม่น้ำโขง (ภาพลายเส้นฝีมือชาวยุโรป จากหนังสือ A Pictorial Journey on the Old Mekong Cambodia Laos and Yunnan. White Lotus Press, 1998)

แนวคิดคลาดเคลื่อนทางประวัติศาสตร์ของไทยมีอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ เชื้อชาติและการอพยพยกโขยง

1.เชื้อชาติ เป็นสิ่ง “เพิ่งสร้าง” ในยุโรป แล้วส่งแผ่ถึงสยามสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จากนั้นชนชั้นนำสยามสถาปนาคนไทย “เชื้อชาติไทย” สายเลือดบริสุทธิ์เป็นครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่แล้ว หรือเรือน พ.ศ. 2400

ปัจจุบันคนทั้งโลกรู้แล้วว่าเชื้อชาติไม่มีจริง ดังนั้น ประเทศต่างๆ ทยอยยกเลิกเรื่องเชื้อชาติ

ไทย เป็นชื่อทางวัฒนธรรม (ไม่ใช่เชื้อชาติ) คนไทยมาจากชาวสยาม ซึ่งเป็นลูกผสม “ร้อยพ่อพันแม่” จากหลายชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์และในโลก ที่พูดภาษาไทยเป็นภาษากลาง

Advertisement

ประวัติศาสตร์ไทย “แห่งชาติ” ทุกวันนี้เป็นประวัติศาสตร์ของคนกลุ่มเล็กๆ
กลุ่มเดียวที่เรียกตนเองว่าคนไทย โดยกีดกันคนชาติพันธุ์อื่นๆ ซึ่งมีมากกว่าออกจากประวัติศาสตร์ไทย

การยอมรับความเป็นคนของกลุ่มชาติพันธุ์ และให้ความเสมอหน้าเทียมบ่าเทียมไหล่ที่รัฐบาลไทยตรากฎหมายชาติพันธุ์เป็นงานสำคัญอย่างยิ่ง แต่จะสำคัญยิ่งกว่าคือชำระประวัติศาสตร์ไทยเรื่องความเป็นคนไทยมาจากชาวสยาม (“ร้อยพ่อพันแม่” ที่ยกมาข้างต้น)

กฎหมายชาติพันธุ์ของรัฐบาลมีในรายงานข่าวจะขอคัดมาดังนี้

Advertisement

แม่ฮ่องสอน – นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมคิกออฟกฎหมายชาติพันธุ์ เดินหน้าคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตทุกกลุ่มวัฒนธรรมบนความเสมอภาคตามนโยบายรัฐบาล บริเวณกาดซอกจ่า บ้านผาบ่อง อ. เมือง จ. แม่ฮ่องสอน โดยมีนายเชษฐา โมสิกรัตน ผวจ.แม่ฮ่องสอน นายโกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และเครือข่ายพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์จากทั่วประเทศเข้าร่วมจำนวนมาก รวมถึงนำผลิตภัณฑ์สินค้ามาจำหน่าย และนำการแสดงจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มาให้ชม

นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในประเทศไทยอย่างเสมอภาคกัน ด้วยเห็นว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์เป็น “พลัง” ในการสร้างสรรค์ประเทศ จึงมีนโยบายที่ชัดเจนในการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงไว้ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 66 ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมของคนทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเปราะบาง คนพิการ ผู้สูงอายุ และกลุ่มชาติพันธุ์ โดยจะดูแลให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีงาน มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมด้วยสวัสดิการ

วธ.เร่งจัดทำร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ขณะนี้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณารับหลักการแล้ว นอกจากนี้ วธ.ยังให้ความสำคัญและให้การสนับสนุนร่างกฎหมายชาติพันธุ์ทุกฉบับที่มีหลักการและเป้าหมายเดียวกัน คือให้การคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมและส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มอย่างเสมอภาค ขอแสดงเจตนารมณ์ร่วมกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่ม ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมกันคิกออฟกฎหมายชาติพันธุ์ เดินหน้าสร้างสังคมแห่งความเสมอภาคที่ทุกกลุ่มวัฒนธรรมได้รับการคุ้มครองวิถีชีวิตและส่งเสริมศักยภาพอย่างยั่งยืน ขับเคลื่อนกฎหมายชาติพันธุ์ให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลชุดนี้

(ที่มา : ข่าวสด (ตจว.) ฉบับวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567 หน้า 2)

2.อพยพยกโขยงถอนรากถอนโคน เป็นสิ่ง “เพิ่งสร้าง” สืบเนื่องจากเรื่องเชื้อชาติว่าคนไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ มีถิ่นกำเนิดบริเวณเทือกเขาอัลไต (ปัจจุบันอยู่ในดินแดนมองโกเลีย ซึ่งเหนือจีนขึ้นไป) ต่อมาถูกรุกรานจากจีน จึงต้องถอยร่นลงทางใต้ แล้วตั้งหลักแหล่งปัจจุบันเป็นประเทศไทย

ทุกวันนี้นักวิชาการทั้งไทยและสากลพบแล้วว่าไม่เป็นจริง เพราะไม่มีหลักฐานวิชาการใดๆ สนับสนุน

แต่รัฐราชการรวมศูนย์ใช้เรื่องคนไทยมีถิ่นกำเนิดบริเวณเทือกเขาอัลไตมอมเมาปลุกระดมชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” แล้วมีหลักสูตรประวัติศาสตร์ไทยในโรงเรียนทั่วประเทศนานเกือบศตวรรษมาแล้ว

ต่อมาราว 50 ปีมาแล้ว ถูกคัดค้านจากนักวิชาการทั้งไทยและสากล ว่าไม่พบหลักฐานโบราณคดีว่าเคยมีคนไทยอยู่อัลไต ทำให้กระทรวงศึกษาธิการถอดเรื่องอัลไตออกจากหนังสือแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย

นักโบราณคดีไทยกลุ่มหนึ่งไม่ละความพยายามหาหลักฐานทางวิชาการ เกี่ยวกับคนไทยอพยพยกโขยงถอนรากถอนโคนจากเมืองจีน แต่แล้วถึงทุกวันนี้ยังหาไม่พบ

กระทรวงวัฒนธรรมของรัฐบาลเผด็จการทหารที่ผ่านมาได้จัดพิมพ์หนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย พ.ศ. 2558 ลดเพดานถิ่นกำเนิดคนไทยจากอัลไต เป็นมาจากตอนใต้ของจีน ทั้งนั้นโดยอ้างตำนานพงศาวดาร แต่เมื่อถูกซักถามว่าเล่มไหน? ก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีเอกสารเล่มใดบอกอย่างนั้น

แต่แล้วมีนักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย พูด “หลงยุค” ในที่ประชุมเสวนาวิชาการ แล้วย้อนกลับไปยกเรื่องคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต

เรื่องนี้มีผู้ปริ๊นต์ข้อความของอาจารย์ยุกติ มุกดาวิจิตร ซึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊ก Trai Ngoc Cam ส่งให้อ่าน จะขอยกมาแบ่งปันเป็นอุทาหรณ์ ดังนี้

วันก่อนมีศาสตราจารย์สายวิทย์คนหนึ่ง ที่อวดว่าตนเองสนใจเรื่องสังคมศาสตร์ เพราะสนใจโบราณคดี (!!???)  พูดบนเวทีต่อหน้าคนหลายร้อยว่า…

การค้นพบโฮโมสายพันธุ์เดนิสโซแวนที่ถ้ำเดนิสโซแวนบนเทือกเขาอัลไต (ซึ่งผู้ค้นพบเพิ่งได้รางวัลโนเบล ซึ่งก็จริง)

สอดคล้องกับข้อเสนอเรื่องการเคลื่อนมาของชาวอัลไตที่กลายมาเป็นคนไทย เพราะ… ดีเอ็นเอเดนิสโซแวนพบในโฮโมเซเปียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อันนี้ก็จริงเรื่องที่ดีเอ็นเอ ดนซว พบมากในโฮโมเซเปียนในอุษาคเนย์) แต่นั่นคือ…

1) คุณต้องไปเรียนเรื่องการตั้งสมมุติฐานการวิจัยมาใหม่ เพราะ A พ้องกับ B ไม่ได้แปลว่าเป็นเหตุเป็นผลกัน เนื่องจาก A กับ B ในที่นี้ อยู่คนละมิติกันในหลายสถาน

2) คุณต้องเข้าใจเรื่องการอพยพของกลุ่มชนกับการเคลื่อนย้ายของเผ่าพันธุ์โฮโม ที่ผสมข้ามสายพันธุ์ที่แกะรอยได้จากดีเอ็นเอเสียใหม่

3) คุณต้องไปอ่านหนังสือของหมอดอดด์ที่เมียแกเป็นคนเขียนเสียใหม่ ว่าเขาเขียนเรื่องอัลไตอย่างไรกันแน่ แล้วเนื้อหาตรงไหนที่เพี้ยนไปเมื่อกลายเป็นความเข้าใจแบบไทยในหนังสือหลักไทย

4) คุณต้องไปทบทวนเรื่องเผ่าพันธุ์ พันธุกรรม และชาติพันธุ์เสียใหม่ ว่ามิติเหล่านี้มันข้ามกันไม่ได้ แต่ถูกอ้างอิงถึงกันทางการเมืองเสมอ

5) คุณต้องแยกชาตินิยมออกจากวิทยาศาตร์

6) และพื้นฐานเลยคือ คุณต้องไม่สับสนวานรวิทยากับโบราณคดี และเข้าใจให้ดีก่อนว่าโบราณคดีกับสังคมศาสตร์สัมพันธ์กันอย่างไร

เสียดายที่เวลาน้อยเกินกว่าที่จะมีใครแก้ความเข้าใจเลอะเทอะของเขา จำต้องปล่อยเขาเทศนาวิทยาศาสตร์ชาตินิยมแบบมั่วๆ ของเขาต่อไป

[จบข้อความของ อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร]

อ่านจบแล้วไม่ประหลาดมหัศจรรย์ เพราะระบบการศึกษาของไทยทุกระดับยังวนเวียนเรื่องอัลไต ซึ่งดูได้จากหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการตราบจน     ทุกวันนี้ ยังรักษาแนวคิดทฤษฎีอัลไต-น่านเจ้า ทำให้ต้องบอกกล่าวต่อไป ดังนี้

[หนึ่ง] ขอบคุณศาสตราจารย์สายวิทย์ “หลงยุค” คนนั้น ทำให้ผมได้ความรู้เพิ่มมากกว่าเดิมจากข้อเขียนมีคุณค่าของ อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร

[สอง] ระบบการศึกษาไทยไม่ว่าสายวิทย์หรือสายศิลป์ก็พอกัน เพราะขนาดศาสตราจารย์สายวิทย์ยังอย่างนี้ แล้วจะให้สายศิลป์เป็นอย่างไหน?

[สาม] งานหลักของกระทรวงวัฒนธรรม แสดงว่าอ่อนแอในการเผยแพร่แบ่งปันข้อมูลหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนไทยและประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อมูลหลักของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จะกระตุ้นนโยบายซอฟต์เพาเวอร์ของรัฐบาล

ดังนั้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องพิจารณาแก้ไขจงหนัก ถ้าไม่เร่งแก้ไขก็ไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลเผด็จการทหารที่ผดุงอำนาจตนเองด้วยลัทธิชาตินิยมคลั่งเชื้อชาติไทยจากประวัติศาสตร์ไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image