ผู้เขียน | พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก |
---|
เรือสำราญสุดหรูของอังกฤษ เป็นสิ่งก่อสร้างใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างบนโลกและลอยน้ำได้ ได้รับฉายาว่า “วัตถุที่ไม่มีวันจม” (Unsinkable) เป็นของเล่น เป็นพาหนะสำหรับเศรษฐี มีผู้โดยสารบนเรือที่ร่ำรวยที่สุดในโลก มหาเศรษฐี นักธุรกิจระดับโลก นักวิชาการ สื่อมวลชน ชนชั้นสูงทั้งหลายที่ยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อขอขึ้นไปเพื่อเสพสัมผัสกับสวรรค์ลอยน้ำ
หลังเดินทางออกจากท่าไปเพียง 4 วัน โลกต้องตะลึงกับข่าวโศกนาฏกรรมในทะเลครั้งใหญ่ที่สุด
เรือไททานิก (Titanic) ที่งามสง่า วิ่งไปชนภูเขาน้ำแข็งในทะเลแอตแลนติกเหนือตอนกลางดึก เรือเหล็กหักงอเหมือนแผ่นสังกะสี มีคนกำลังนอน กำลังร้องเพลง ดื่มเหล้า เต้นรำ และมีคู่รักกอดกันจมน้ำตายในห้องนอน ผู้โดยสารจมน้ำตายเพราะถูกแช่แข็งในทะเลมากกว่า 1,500 คน และมีคนรอดตาย 710 คน
ภาพเก่า..เล่าตำนาน ขอย้อนอดีตของเรือไททานิก ครับ
10เมษายน พ.ศ.2445 (ตรงกับรัชสมัยในหลวง ร.5) ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมแผ่วเบาโชยผ่านเมืองเซาแธมป์ตัน ในอังกฤษ วิมานลอยน้ำชื่อไททานิกลำนี้ พร้อมผู้โดยสารที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เสียงตะโกนล่ำลา อวยชัยให้พร พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางเป็นปฐมฤกษ์จากเมืองเซาแธมป์ตัน (Southampton) ของอังกฤษ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
มีมหาเศรษฐีที่ถือว่ารวยที่สุดในตอนนั้น ชื่อ จอห์น จาคอบ แอสเตอร์ ที่ 4 (John Jacob Aster IV) ที่จองตั๋วล่วงหน้ามา 1 ปี ประการสำคัญคือจะเป็นการล่องเรือสำราญฮันนีมูนกับสาวน้อยวัย 18
เรือไททานิก (RMS : Royal Mail Steamer Titanic) ของบริษัทเดินเรือ White Star Line ของอังกฤษ สร้างโดยบริษัท Harland and Wolff ได้รับการออกแบบให้มีความสะดวกสบายหรูหราที่สุด บนเรือมีห้องออกกำลัง สระว่ายน้ำ ห้องสมุด ภัตตาคาร บาร์ห้องเต้นรำ และห้องพักผู้โดยสารจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีโทรเลขไร้สาย ในยุคสมัยนั้นกิจการเดินเรือระหว่างยุโรป-อเมริกา เป็นธุรกิจที่ทำเงินแบบโตวันโตคืน
ในเวลาเดียวกันนั้น บริษัทเดินเรือ Lunard มีเรือเดินสมุทรสุดหรูชื่อ ลูซิตาเนีย (Lusitania) ถือได้ว่าเป็นบริษัทเดินเรือที่เป็นคู่แข่งของ White Star Line มีการแข่งขันกันการบริการ จุดขายของการเดินเรือคือ “ความหรูหรา สะดวกสบายของผู้โดยสาร”
เรือไททานิก ถูกบรรจงสร้างให้เหนือชั้นกว่า เรือลูซิตาเนีย เป็น 1 ใน 3 ของเรือโดยสารชั้นโอลิมปิก (Olympic-Class) สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.2452-2454 โดยอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูล์ฟ (Harland and Wolff) ในเบลฟาสต์ (Belfast) ออกแบบให้บรรทุกผู้โดยสารได้ 2,435 คน สร้างเสร็จปล่อยลงน้ำที่อู่ต่อเรือเมืองเบลฟาสต์ ประเทศอังกฤษ เมื่อ 31 พฤษภาคม 1911 ใช้เวลาต่อเรือนาน 2 ปี ตัวเรือยาว 270 เมตร มีความสูง 53 เมตร ใช้ความเร็วสูงสุดได้ 44 กม/ชม.
บริษัทโหมโฆษณามาอย่างต่อเนื่องว่า สวยงามอร่ามหรู และปลอดภัยที่สุดในโลก และ ไททานิกจะเป็นวัตถุเคลื่อนได้ที่ใหญ่ที่สุดที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ มีคนมาร่วมชมพิธีปล่อยเรือลงน้ำครั้งประวัติศาสตร์วันนั้นราว 1 แสนคน เรือลูซิตาเนียและไททานิกถูกปล่อยลงน้ำในเวลาใกล้เคียงกัน
หัวหน้าทีมวิศวกรที่มีชื่อเสียงและมีฝีมือไว้วางใจได้มากที่สุดในเวลานั้น คือ โทมัส แอนดรูว์ส (Thomas Andrews) เขาคือผู้ออกแบบและควบคุมการต่อเรือไททานิก วิศวกรโทมัสมีความสุขที่สุดที่ได้ออกแบบและควบคุมการต่อเรือ เขาชื่นชมเรือไททานิก และกล่าวว่าเป็นเรือที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่สติปัญญาของมนุษย์จะทำได้
พ.ศ.2452 โทมัสเริ่มร่างภาพ ออกแบบ และต้องการใช้ระบบที่ทันสมัยที่สุดในเรือไททานิก จนหลังจากผ่านการทดสอบได้ไม่นานเขาก็ได้ทำงานหลายแผนกในบริษัท จนกลายเป็นผู้จัดการ และในปีเดียวกันนั้นเขาก็ได้เป็นสมาชิกในคณะสถาปนิกของกองทัพเรืออังกฤษ ซึ่งแววความอัจฉริยะทางด้านวิศวกรรมของเขาก็ทำให้อีก 6 ปีต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โทมัสโชกโชนด้วยประสบการณ์การต่อเรือทั้งที่อายุยังน้อย
ความเป็นอัจฉริยะของวิศวกรหนุ่มโทมัสและทีมงานทำให้มีงานออกแบบและสร้างเรือคู่ขนานกันไปอีก 1 ลำ ที่เรียกกันว่า “เรือพี่-เรือน้อง” โดยให้ Titanic เป็นเรือน้อง และพี่สาวคือเรือ Olympic ทีมวิศวกรต่อเรือไททานิกทำงานได้อย่างราบรื่น และรุดหน้าไปได้ด้วยดี เรือโอลิมปิก (Olympic) เรือแฝดพี่สร้างเสร็จก่อน แล้วก็ตามด้วยแฝดน้อง นั่นก็คือไททานิก
กัปตันเอ็ดวาร์ด จอห์น สมิธ (Captain Edward John Smith) หรือมีชื่อย่อว่า E.J. Smith เป็นกัปตันเรือที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรคนหนึ่งในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นกัปตันเรือที่ค่าตัวแพงที่สุดในยุคนั้น ด้วยความสามารถของกัปตันผู้มากด้วยประสบการณ์ เคยเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมานับครั้งไม่ถ้วน ประสบการณ์ที่โดดเด่นจึงถูกว่าจ้างให้ทำหน้าที่กัปตันเรือประวัติศาสตร์ ชื่อไททานิก
ผู้บริหารสูงสุดของสายการเดินเรือ ชื่อ เจ บรูซ อิสเมย์ (J. Bruce Ismay) และโทมัส แอนดรูว์ส (Thomas Andrews) ผู้ออกแบบเรือลำนี้ก็ไม่พลาดที่จะร่วมเดินทางในการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้
ไททานิกออกจากท่าเซาแธมป์ตันแล้ว แวะจอดรับ-ส่งผู้โดยสารที่เมืองเชอร์บูร์ก (Cherbourg) ในฝรั่งเศส และควีนส์ทาวน์ (ปัจจุบันคือ Cobh) ในไอร์แลนด์ ก่อนมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก ผู้โดยสารในเรือลำนี้มี 3 ระดับ คือ ชั้น 1, 2 และ 3 คล้ายกับการขึ้นเครื่องบินในปัจจุบัน
หลังจากออกเรือมา 4 วัน กลางดึกของวันที่ 14 เม.ย. พ.ศ.2455 เรือไททานิกพาผู้โดยสาร 2,240 คน บวกกับลูกเรือ 892 คนที่กำลังกิน นอน ดื่ม เต้นรำ ในมหาสมุทรและท้องน้ำสีฟ้า สนุกสนานหรรษาชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง เมื่อ 23.40 น. และจมหมดลำในเวลา 02.20 น.
ไททานิก เรือสำราญที่กลายเป็นเศษโลหะลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก แตกและจมลง โดยยังมีผู้โดยสารอีกกว่าพันคนอยู่บนเรือ คนที่ตกไปในน้ำเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน จากภาวะร่างกายเย็นเกิน (hypothermia) เนื่องจากน้ำในมหาสมุทรที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง
ผู้รอดชีวิตที่ลงเรือชูชีพ (ที่บรรทุกในเรือไททานิก) จำนวน 710 คนถูกส่งต่อขึ้นเรือ คาร์พาเธีย (RMS Carpathia) ที่เขามาช่วยหลังจากนั้น 3 ชม.
ในปี พ.ศ.2528 มีการค้นพบชิ้นส่วนของเรือไททานิกที่จมนิ่งอยู่ท้องมหาสมุทรลึกลงไปราว 4 กม. เรือที่ทำให้ท้องทะเลกลายเป็นสุสาน เลยกลับมาโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกอีกครั้ง และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์
การชนแฉลบกับภูเขาน้ำแข็ง ทำให้ลำเรือไททานิกหักงอเข้าหากัน ตัวเรือหลายจุดด้านกราบขวาแตกเป็นแผลขนาดใหญ่ และเปิดห้องกันน้ำ 5 จาก 16 ห้องให้น้ำทะเลทะลักเข้ามา อีก 2 ชั่วโมง 30 นาที ต่อมาน้ำทะเลเย็นเฉียบก็ไหลเข้ามาในเรือและเรือค่อยๆ จมลง ผู้โดยสารและลูกเรือบางส่วนถูกอพยพลงในเรือชูชีพ โดยมีเรือชูชีพจำนวนมากถูกปล่อยลงน้ำไปทั้งที่ยังบรรทุกผู้โดยสารอื่นๆ ได้อีกจำนวนมาก ทุกคนต้องการเอาชีวิตรอด มีผู้ชายจำนวนมากถูกทิ้งอยู่บนเรือที่กำลังจมลง เพราะระเบียบกำหนดให้ “ผู้หญิงและเด็กลงเรือชูชีพไปก่อน”
แทบไม่มีใครเชื่อว่าเรือไททานิกจะประสบอุบัติเหตุในลักษณะนี้ นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ในการเดินเรือโดยสารในท้องทะเล เป็นความประมาท และเกิดการละเลยที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบจนนำไปสู่หายนะ มีการสอบสวน สืบค้นหาสาเหตุที่เรือล่มทั้งในอังกฤษและสหรัฐเพื่อกำหนดหลักในความปลอดภัยในทะเล
ผลที่ได้หลังการสอบสวน คือ การจัดตั้งอนุสัญญาความปลอดภัยของชีวิตในทะเลระหว่างประเทศ (SOLAS : Safety of Life At Sea) ใน พ.ศ.2457 ซึ่งยังเป็นมาตรการที่ใช้ควบคุมความปลอดภัยการเดินเรือในทะเลมาจนถึงทุกวันนี้
ในมิติด้านสังคม ผู้รอดชีวิต สูญเสีย สิ้นเนื้อประดาตัวและถูกทิ้งให้อดอยากแร้นแค้น ครอบครัวแตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสมาชิกครอบครัวของลูกเรือจากเมืองเซาแธมป์ตัน
ในปี พ.ศ.2540 ผู้สร้างภาพยนตร์นำเอาตัวละครและสถานที่จริงบนเรือมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกที่ทำเงินมหาศาล รวมทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์ที่กระหึ่มไปทั่วโลก
ทำไมเรือชนภูเขาน้ำแข็ง และมีเบื้องลึก เบื้องหลังประการใด มีแจ๊ค และโรส ที่ต้องลาจากกันหรือไม่ ?
โปรดติดตามต่อตอนต่อไปครับ
เรียบเรียงโดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก
(ขอบคุณภาพจาก http://www.iseehistory.com)