พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : บทเพลง ปริศนา เซาะกร่อน บ่อนทำลาย ณ ฐาน ความคิด

พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : บทเพลง ปริศนา เซาะกร่อน บ่อนทำลาย ณ ฐาน ความคิด

ไม่ว่าจะมองผ่านการเคลื่อนไหวของจางเหลียง ไม่ว่าจะมองผ่านความไหวตัวของพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง
ดำเนินไปตาม “แผน” เป็นไปตามที่ “คาด”
การอำลาจากเซี่ยงป๋อจึงเท่ากับเป็นการดำรงความมุ่งหมาย ด้านหลักคือการ “เซาะกร่อน บ่อนทำลาย” ต่อสถานะทางการเมืองของพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง
ด้านรองคือการสร้างภาวะปั่นป่วนในทางความคิด
เท่ากับปฏิบัติการ IO ด้านการข่าว เร้าความสนใจจากพระเจ้าฌ้อปาอ๋องอย่างฉับพลันทันใด
จำเป็นต้องเกาะติด พระเจ้าฌ้อปาอ๋อง อย่างเป็นพิเศษ

ครั้นเวลารุ่งเช้าพระเจ้าฌ้อปาอ๋องเสด็จออก ทอดพระเนตรเห็นขุนนางเฝ้าแหงนอยู่พร้อมหน้าจึงตรัส
“เด็กร้องเพลงประหลาด 3 ประการ
ท่านทั้งปวงรู้หรือไม่ว่า บทที่ 1 เสียงก้องร้องดังระฆัง คนได้ฟังไม่เห็นรูป บท 1 ว่า มีทรัพย์สมบัติสารพัดบริบูรณ์ ไม่ไปตั้งบ้านของตัวเอง บท 1 ว่านุ่งงามห่อดี ไม่ควรที่มาเดินกลางคืน
คำซึ่งมันว่านี้ต้องกับความคิดเรา ครั้นถามมันว่าใครสอนมันว่าเทพยดาสอน”
แล้วก็ทรงอรรถาธิบายว่า “อันคำเด็กว่าดังนี้มีมาแต่โบราณ ครั้งแผ่นดินเงี่ยวเต้มีบุตรองค์หนึ่งชื่อตันบู๊ พระองค์ตั้งใจจะให้เป็นเจ้าแต่พระราชบุตรไม่เอาธุระในการแผ่นดิน อยู่วันหนึ่งพระเจ้าเงี่ยวเต้เสด็จไปตำบลกองกูได้ยินเด็กทำเพลงว่า
“ผู้ซึ่งเป็นเจ้าครองสมบัติเป็นสุข ก็อย่าคิดแต่ใจตัวเอง จงตรึกตรองดูคนมีสติปัญญามาครองสมบัติตามคำเทพยดา”
ครั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้เห็นบุตรจะครองสมบัติไม่ได้ จึงไปหาคนผู้หนึ่งแซ่เอียว ชื่อซุน มีกตัญญูต่อบิดามารดา ทั้งมีสติปัญญามาก พระเจ้าเงี่ยวเต้จึงมอบสมบัติให้เป็นพระเจ้าซุ่นเต้
บ้านเมืองก็บริบูรณ์ ผู้คนก็มั่งคั่ง

เมื่ออรรถาธิบายต่อเหล่าขุนนางแล้วพระเจ้าฌ้อปาอ๋องจึงว่า “เราจะคิดไปตีเมืองเผิงเฉิงมาเป็นเมืองหลวง หัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองฌ้อก็ใกล้กัน เขตแดนกว้างขวางถึงหนึ่งหมื่นเส้น มีแม่น้ำตลอดถึงกัน ทิศเหนือมีเมืองใหญ่ถึง 9 เมือง
ครั้นจะอยู่เมืองเสียนหยางเราก็เผาวังและตำหนักอาฝางกงเสียสิ้น คนจะประมาทได้ ครั้นจะทำขึ้นใหม่เล่าก็เห็นจะช้า”
ขุนนางจึงทูลว่า “ความซึ่งเด็กทำเพลงข้าพเจ้าหาทราบไม่ ไต้อ๋องมีปัญญาบารมีมากจึงคิดได้ดังนี้”
ฮั่นเสงเป็นที่จอกันหงีทูลว่า
“ซึ่งเด็กทำเพลงบอกว่าเทพยดาสอนนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นอุบาย ชะรอยคนมีสติปัญญาสอนให้เด็กทำเพลง ไต้อ๋องจึงตรึกตรองดูก่อน แลเมืองเสียนหยางนี้เป็นชัยภูมิจึงต้องเป็นเมืองหลวง
เพราะมีภูเขากันทั้งสามด้าน ฝ่ายทิศตะวันออกก็เป็นทะเล ชั้นในมีแม่น้ำฮวงโหและด่านเสียงก๊กวนกัน ทิศตะวันตกมีด่านหลงกวน ใช่หลั่นกุนหลายตำบล ทิศใต้มีเขาจงลำ มีด่านบู๊กวน เอี๊ยวกวนกัน ทิศเหนือมีแม่น้ำถึงสามชั้น มีด่านตังกวน มีแม่น้ำใหญ่ปลายน้ำตลอดถึงกัน
หนทางก็กันดารถึงหนึ่งหมื่นเส้น ไม่มีเมืองใดเสมอเหมือน ทั้งภูเขาแลแม่น้ำถึง 120 แห้ง ภูมิพื้นที่ก็กว้างขวางข้าพเจ้าเสียดายนัก”
มีทั้งข้อสรรเสริญเยินยอ มีทั้งท้วงติงครบถ้วน

ได้ฟังดังนั้นพระเจ้าฌ้อปาอ๋องจึงตรัสว่า “ท่านมาสรรเสริญเมืองเสียนหยางว่าดีเราหาเห็นด้วยไม่
ซึ่งเราคิดทั้งนี้เพราะวิตกด้วยมาจากเมืองฌ้อสามปีมิได้กลับไป
ประการหนึ่ง เมืองเสียนหยางไร่นาก็ทำยากนัก ล้วนภูเขา พื้นแผ่นดินน้อยกว่าเมืองเรา ประการหนึ่ง เทพยดาก็บอกเหตุ ซึ่งท่านเห็นว่าคนจะมาแกล้งกล่าวนั้นผิด”
ฮั่นเสงจึงทูลว่า
“ไต้อ๋องครองเสียนหยางทุกวันนี้อุปมาเหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงกล้าเมื่อเวลาเที่ยง คนจะแลดูก็เคืองตา หัวเมืองทั้งปวงกลัวเกรงก็จริงอยู่แต่จะทิ้งเมืองเสียนหยางนั้นข้าพเจ้าไม่วางใจ
กลัวเกลือกจะมีศัตรูมาตีเมืองเสียนหยางเอาเป็นที่มั่น การศึกจะติดพันยืดยาวไป”
พระเจ้าฌ้อปาอ๋องจึงตรัสว่า
“แต่บรรดาหัวเมืองที่ไม่วางใจเราก็แต่งทหารไปเป็นเจ้าเมือง ถึงจะมีศัตรูขึ้นภายหลังที่ไหนจะสู้ฝีมือทหารเราได้”
ยืนยันความมุ่งมั่น ยืนยันเจตจำนง

Advertisement

ความคิดเอนไปในทางที่จะย้าย “เมืองหลวง” ฮั่นเสงจึงงัดเอา “ข้อมูล” ที่คิดว่าน่าจะเป็น “อาวุธลับ”
ทัดทานพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง
“เมื่อฟานเจิงจะไปเมืองเผิงเฉิงได้สั่งไว้อย่าให้ทิ้งเมืองเสียนหยาง ข้อหนึ่ง ให้ตั้งหานซิ่นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าไม่เลี้ยงให้ฆ่าเสีย ข้อหนึ่ง อย่าปล่อยให้ฮ่นอ๋องไปเมืองโปต๋ง ไต้อ๋องจำความข้อนี้ไม่ได้หรือ”
พระเจ้าฌ้อปาอ๋องจึงตรัสว่า
“ทำศึกมาจนเป็นเจ้าแผ่นดิน ใครจะอาจต่อสู้ฝีมือเรา ฟานเจิงไม่ควรจะล่วงบังคับเรา เรามิใช่เด็กไม่รู้ความ ซึ่งถ้าว่าครั้งนี้ผิดฉันเจ้ากับข้า”
เบื้องหน้าสถานการณ์ “ร้อน” ระดับนี้ฮั่นเสงทำเช่นใด
มีหนางเดียวเท่านั้น คือ ปิดปากเงียบ ถอยออกไปข้างนอก แหงนขึ้นดูบนฟ้า ทอดใจใหญ่กล่าวขึ้น “ธรรมดาคนเมืองฌ้อ อุปมาเหมือนวานรได้เสื้อและหมวกเครื่องยศใส่ตัว ก็จะเต้นไปตามวิสัยกว่าเสื้อหมวกจะตก
บัดนี้ พิเคราะห์ดูก็เห็นจริง”

ในความเป็นจริง สิ่งที่ฮั่นเสงสำแดงออกมามิได้เป็น “คำประกาศ” หากแต่ดำเนินไปในท่วงทำนองอันเรียกได้ว่า “รำพึง”
“ไซ่ฮั่น” บรรยายออกมาว่า
เมื่อได้ฟังดำรัสแห่งพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง ฮั่นเสงถอยออกไปข้างนอก แหงนหน้าขึ้นดูบนฟ้า ทอดใจใหญ่แล้วจึงได้กล่าว
ที่ฮั่นเสงพูดจึงมิได้เป็น “คำประกาศ” หากแต่เสมอเป็น “รำพึง”
ความน่าสนใจจากยุทธนิยายเรื่อง “ไซ่ฮั่น” ก็คือ พระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ยินเสียงของฮั่นเสงอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ชัดในเนื้อความจึงออกปากถามต่อตันแผง
“ฮั่นเสงกล่าวประการใด”
คำตอบจากตันแผงต่างหากที่ตรงไปตรงมายิ่ง “ฮั่นเสงว่า ธรรมดาชาวเมืองฌ้อ เหมือนวานร ถึงจะเอาเสื้อแลหมวกให้ก็ไม่อยู่นาน ด้วยเป็นใจสัตว์เดรัจฉาน มิใช่มนุษย์”
เมื่อ “เนื้อความ” นี้แจ้งแก่พระเจ้าฌ้อปาอ๋องก็เป็นเรื่อง

ความยอกย้อนของเรื่องราวจึงบังเกิด เมื่อพระเจ้าฌ้อปาอ๋องแจ้งใน “เนื้อความ” แล้วจึงบัญชาหานซิ่นให้จับตัวฮั่นเสงไปตัดศีรษะเสียบไว้ เอาตัวใส่กระทะน้ำมันทอดเสีย
ถามว่าหานซิ่น “ปฏิบัติ” อย่างไร
คำตอบก็คือ หานซิ่นได้รับคำบัญชาก็คำนับแล้วออกมา จับฮั่นเสงไปคุมไว้ตามคำบัญชา
ขณะเดียวกัน ก็ตั้งกระทะน้ำมันรออยู่
อาจกล่าวได้ว่า เหตุการณ์นี้หานซิ่นอยู่ใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง ใกล้ชิดในฐานะผู้รับคำบัญชา
ใกล้ชิดกระทั่งรับรู้ใน “รายละเอียด”
เป็นรายละเอียดอันเนื่องแต่ “คำชี้แนะ” อันฟานเจิงในฐานะ “ที่ปรึกษา” เคยให้ไว้แก่พระเจ้าฌ้อปาอ๋อง
รวมถึงอยู่ในเหตุการณ์ที่จะต้อง “ประหาร” ฮั่นเสงอีกด้วย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image