ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
ซอฟต์พาวเวอร์…ของดีต้องขายได้?
การลาออกยกชุดของคณะอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์สาขาแฟชั่น เกิดขึ้นขณะที่กระแสกางเกงลายช้าง ลายแมว ลายปลาแรด ลายปลาทู ลายลิง ลายทุเรียนหลง หลิน ลับแล กำลังโด่งดังเป็นพลุแตก
แต่ก็ไม่อาจกลบความสงสัยของสังคมที่ติดตามความเคลื่อนไหว ผลงานคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติไปได้
ต้นเหตุแห่งการถอนตัวทั้งคณะเป็นเพราะจริตและความคิดของคณะอนุกรรมการฯสวนทาง ไม่สอดคล้องกับผู้มีอำนาจในคณะกรรมการใหญ่แค่นั้น
หรือรวมไปถึงกระบวนการ วิธีการทำงานไปด้วยกันไม่ได้
อันเนื่องมาจากอ่อนวัฒนธรรมการทำงานและการอยู่ร่วมกันด้วยการให้เกียรติ ให้ความเคารพรักผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ละอ่อน หรือสูงวัยกว่าก็ตาม
กรณีนี้ยังสะท้อนถึงการขาดสมดุลระหว่างสองคำสำคัญ นั่นคือ มูลค่ากับคุณค่า อย่างชัดเจน
หมุดหมายของการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์จึงถูกเน้นไปที่การสร้างกระแสความฮือฮา ทำเป้าระยะสั้น ภายใต้ข้ออ้างความเร่งด่วนด้วยเหตุผลเฉพาะหน้าทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศจนถึงระดับชุมชน ครัวเรือน เป้าหมายในเชิง “มูลค่า” ที่เป็นตัวเงิน เป็นหลัก
ทำให้หัวใจสำคัญด้าน “คุณค่า” ซึ่งเป็นเงื่อนไขปัจจัยให้เกิดความยั่งยืนและกินยาวถูกลดทอนลง
คุณค่าของซอฟต์พาวเวอร์ มิได้มีแต่เป้าหมายด้านเศรษฐกิจ แต่ยังรวมเลยไปถึงด้านสังคม ศิลปวัฒนธรรม การศึกษา ซึ่งสะท้อนถึงภาพของสังคมศิวิไลซ์ คุณภาพชีวิตและความเป็นคนที่สมบูรณ์
ความสุขและความหมายของชีวิตไม่ได้มีแต่มิติของความร่ำรวย เงินตรามหาศาลด้านเดียว
ด้วยฐานคิดที่ว่าความงามต้องขายได้ ความงามขายไม่ได้ ไม่ใช่ความงาม
เหตุที่เกิดขึ้นทำให้อดคิดไปถึงซอฟต์พาวเวอร์อีกสาขาหนึ่งไม่ได้จริงๆ สาขาหนังสือ ไงครับ
ในโลกของความเป็นจริงที่พูดกันมานานว่า หนังสือกระดาษกำลังจะตาย อีบุ๊กและเอไอ กำลังมาแรง ด้วยเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
เลยทำให้ซอฟต์พาวเวอร์สาขาหนังสือได้งบประมาณดำเนินงานน้อยมาก เทียบไม่ติดกับสาขาอื่นๆ ทั้ง 11 สาขา
ทั้งๆ ที่นโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาและให้สัมภาษณ์สื่อครั้งแล้วครั้งเล่า นายกรัฐมนตรีย้ำแล้วย้ำอีก “ต้องส่งเสริมการอ่าน” เพื่อให้เด็กไทยและคนไทยตามทันโลก ทันเทคโนโลยี ทันความเปลี่ยนแปลง
แต่มีค่าใช้จ่ายให้สาขานี้ต่ำสุด 69 ล้าน จากงบดำเนินงานทั้งหมด 5,164 ล้าน
ทำให้ความหวังของอนุกรรมการด้านนี้ที่จะเห็นสถาบันหนังสือเกิดขึ้นในประเทศไทย ยังเป็นเพียงจินตนาการและความฝันไปก่อนเท่านั้น
ยิ่งท่ามกลางกระแสนิยมหน้าจอเจ๋งกว่าหน้าจริง พฤติกรรมการอ่านของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เลิกเสพสื่อหนังสือ สื่อกระดาษ หันมาเสพสื่อมือถือ คอมพิวเตอร์ เป็นส่วนใหญ่
ความพยามสร้างวัฒนธรรมการอ่านภายใต้พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนี้ จึงเป็นเรื่องยากลำบาก
ด้วยเหตุนี้อีกเช่นกัน เป็นผลให้การจัดสรรงบประมาณเพื่อซื้อหนังสือแบบเรียน หนังสือนอกเวลาเรียน ให้นักเรียนในโรงเรียน และหนังสือทั่วไปทุกประเภท ให้แก่ที่อ่านหนังสือชุมชนและห้องสมุดประชาชน ลดต่ำลงและขาดแคลนทุกปี
ฉะนั้นอย่าหวังเลยว่า ในศูนย์ไอทีชุมชน ศูนย์ยุติธรรมชุมชน ไกล่เกลี่ยประนีประนอมความขัดแย้งในหมู่บ้านฯ จะมีสื่อหนังสือดีๆ เป็นทางเลือกให้ชาวบ้านอ่านควบคู่ไปกับการใช้สื่อไอซีที
กระทรวงศึกษาธิการไปทาง กระทรวงดีอี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงยุติธรรม ไปอีกทาง ขาดการบูรณาการ ทำให้สังคมไทย คนไทยจึงยังคงเป็นสังคมเมาธ์แตกมากกว่าสังคมการอ่าน อยู่เช่นเดิม
ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คณะซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ต้องช่วยกันระดมความคิด สรรพกำลังควบคู่ไปกับการสร้างกระแสในแต่ละสาขาให้ฮือฮาเพื่อการซื้อขายเพียงเป้าหมายเดียว
กล่าวเฉพาะสาขาหนังสือนอกจากเป้าหมายการจัดตั้งสถาบันหนังสือที่คาดหวังไว้แล้ว หากทำได้เพียงแค่การวางระบบฐานข้อมูลด้านการหนังสือแห่งชาติ อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ขนาดเศรษฐกิจที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทันสมัย
ตอบคำถามได้ว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ไทย ทุกแขนงมีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมเท่าไหร่ มีทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมนี้ทั้งหมดเท่าไหร่
ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ประพันธ์ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกแขนง ทั้งสื่อกระดาษ สื่อดิจิทัล มีสังกัด ไม่มีสังกัด มีจำนวนเท่าไหร่ อยู่ที่ไหน คุณภาพชีวิตเป็นอย่างไร
ข้อมูลเหล่านี้จะได้มาก็ด้วยการส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดการรวบรวม ศึกษาค้นคว้าวิจัย จนมีผลผลิตเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ค้นหา เข้าถึงสะดวก นำไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพวงการวิชาชีพได้ต่อไป
ถ้าเกิดขึ้นจริง นับว่าคุ้มค่าแล้วที่มีกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ด้านหนังสือขึ้นมาประดับบารมีรัฐบาล และสร้างผลงานแท้ไม่ใช่วูบวาบตามกระแส แล้วก็หายเงียบไปกับสายลมการเมืองเช่นหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา