ที่มา | คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
เผยแพร่ |
มีการตอกย้ำสัญญาในโรดแมปที่จะคืน ”รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” ให้กับการบริหารจัดการประเทศจากผู้มีอำนาจเต็มในปัจจุบันมาตลอดในทุกครั้งที่มีคำถามในเรื่องนี้
แต่แปลกตรงที่จนถึงวันนี้คำถาม “การเมืองไทยจะเป็นอย่างไร” ก็ยังเป็นหัวข้อการสนทนา ทุกที ที่มีโอกาสพบปะเสวนากันระหว่างคอการเมืองด้วยกัน
และไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกชวนคุยเรื่องนี้ จะออกอาการ ”อ้ำอึ้ง” อย่างเห็นได้ชัด ว่า ”หาคำตอบที่มั่นใจในการวิเคราะห์ประเมินของตัวเองไม่ได้”
เท่าที่สังเกตส่วนใหญ่เป็นคำตอบที่สับสน มีต้นกับปลายที่ขัดแย้งกันเอง
ยิ่งฟังยิ่งอยากสรุปว่า ถึงวันนี้ผู้ที่ติดตามการเมืองใกล้ชิดส่วนใหญ่เริ่มตกผลึกทางความคิดแล้วว่า “คำพูดในทางการเมืองนั้นไม่สมควรให้ความเชื่อถืออย่างที่สุด” เป็นวาทกรรมที่ ”ไร้สาระทางความเชื่อ”
ด้วยรู้สึกถึงผลึกความคิดเช่นนี้ของผู้คน จึงชวนเสวนาในความเป็นไปทางการเมืองที่เป็น ”การกระทำ” แทนประเด็นที่เป็น “คำพูด”
เกือบทุกคนเชื่อว่า
ผู้มีอำนาจจะยึดครองบทบาทการบริหารจัดการประเทศไว้ในระดับที่สามารถควบคุมได้ตลอดระยะเวลาของ ”ยุทธศาสตร์ 20 ปี”
การเลือกตั้งจะยังไม่เกิดขึ้น หาก ”ปรองดอง” ยังถูกตีความว่า “ทำยังไม่สำเร็จ” อนาคตของประเทศยังเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้ง แตกแยก ขึ้นมาอีก ความสมัครสมานสามัคคีไม่เกิดขึ้น
แรงกดดันจากนานาชาติเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน เกี่ยวกับประชาธิปไตยสากลที่ก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องวิตกกังวลกันมาจะทำให้ประเทศชาติมีปัญหา ถึงวันนี้ไม่ใช่สาระที่มีความหมายพอที่จะกังวลอีกแล้ว
ความเดือดร้อนของประชาชนที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจเพราะเอกชนไม่กล้าเสี่ยงที่จะลงทุน มีปัญหาการค้าขายระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว ขณะที่สินค้าการเกษตร เกษตรกรจ้องหาทางเยียวยาชีวิตตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดถึงอีกแล้ว ความหวังในเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจถูกนำไปผูกกับการลงทุนภาครัฐมากขึ้น
นักการเมืองยังถูกทำให้เป็นความเลวร้ายของประเทศอย่างต่อเนื่อง การทุจริตคิดมิชอบทั้งหมดไม่ว่าจะพบเจอในอดีตและปัจจุบันถูกโยงไปหานักการเมืองจากการเลือกตั้ง
และอื่นๆ อีกมากมาย
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น กระทั่งเป็นสาเหตุของ “ความอ้ำอึ้ง” เมื่อถูกถามว่า ”การเมืองในอนาคตจะเป็นเช่นไร” และผลึกความคิด “คำพูดไม่ใช่คำตอบที่หนักแน่นเท่ากับการกระทำ”
และที่สุดแล้วคำตอบของการสนทนามักจะมาสรุปที่ ”อนาคตเป็นสิ่งที่คาดเอาไม่ได้เลย”
เป็นข้อสรุปที่เกิดจาก ”ไม่มีความหวังกับอะไรทั้งสิ้น”
คล้ายกับว่า ”จะอยู่อย่างนี้ก็เป็นเรื่องต้องคิดมาก”
จะไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ”ก็น่าวิตกกังวล”
ในการสนทนาของคนกลุ่มผู้สนใจติดตามความเป็นไปทางการเมือง เริ่มที่จะมีคำถามไปในทางเดียวกันว่า
“ประเทศที่ประชาชนเชื่อมั่นอะไรไม่ได้เลย ประเทศที่ประชาชนคาดเดาอนาคตของตัวเองไม่ออก หารือคาดเดาได้แต่รู้สึกติดขัดคับข้องไม่มีความหวังกับที่เห็นว่าจะเป็นไป”
จะเป็นประเทศที่เป็นอย่างไรต่อไป?