ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
กษัตริย์สุโขทัยเสด็จประพาสป่า (เขาหลวง) เห็นงูสองตัวติดสัดเสพสังวาสด้วยกายเกี่ยวพันรัดรึงกัน
พิจารณาว่าตัวเมียรูปงามเป็นนางงูตระกูลนาคสูงศักดิ์ แต่ตัวผู้เป็นงูดินตระกูลต่ำ ซึ่งมิควรที่จะเสพสมัครสังวาสด้วย
จึงเอาไม้เท้าเขี่ยงูทั้งสองพลัดออกจากกัน ให้ต่างตัวต่างไป
นางงูโกรธมาก จึงกลับสู่นาคพิภพ แล้วกล่าวฟ้องต่อพระยานาคบิดามารดาว่าถูกมนุษย์แกล้งทำร้ายเจ็บปวดอับอายมาก
พระยานาคราชได้ฟังนางนาคบุตรีก็โกรธมนุษย์นั้น จึงแปลงเป็นฤๅษีขึ้นไปพบมนุษย์ซึ่งเป็นกษัตริย์สุโขทัย แล้วทักถามว่ามาอยู่ที่นี่ทำไม? พบอะไรประหลาดบ้าง?
กษัตรย์สุโขทัยบอกว่ามาที่นี่จะรักษาศีล แต่พบสิ่งประหลาด จึงเล่าตามจริงทุกประการที่เห็นงูผู้เมียสังวาสกัน แล้วเอาไม้เท้าเขี่ยไป
พระยานาคฟังแล้วเข้าใจถี่ถ้วนความเป็นมา จึงอำลาลงไปบาดาล ดุด่าว่ากล่าวนางนาคบุตรีต่างๆ นานา แล้วลงโทษด้วยการไล่นางนาคไปปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์สุโขทัยที่รักษาศีลในป่า
นางนาคแปลงกายเป็นนารีศรีโสภา แล้วปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์สุโขทัยที่รักษาศีลเชิงเขาหลวง ได้เสพสมัครสังวาสจนนางนาคมีครรภ์
นิทานนี้มีพิสดารอีกมากว่านางนาคมีครรภ์แล้วได้ลูกชาย คือ พระร่วง ซึ่งต่อไปได้เป็นกษัตริย์สุโขทัย
เมืองสุโขทัย รอดถนนไฮเวย์ผ่ากลาง
เมืองสุโขทัย มีคูน้ำกำแพงดิน 3 ชั้น ทำผังสี่เหลี่ยมขนาด 1,600 X 1,800 เมตร (ข้อมูลจากเว็บไซต์ราชการ) มีน้ำแม่ลำพันไหลผ่าน และอยู่ห่างจากแม่น้ำยม ราว 12 กิโลเมตร
ถนนจาก จ. สุโขทัย ไป จ. ตาก เป็นทางหลวงดั้งเดิมที่ตัดผ่าเข้ากลางเมืองสุโขทัย (เก่า)
ต่อมาเมื่อหลายสิบปีแล้ว ทางการจะขยายใหญ่เป็นถนนสายเอเชีย
แต่ถูกคัดค้านแข็งแรงจากนักโบราณคดีกรมศิลปากร (ขณะนั้น) ว่าทำลายเมืองเก่าสุโขทัย “ราชธานีแห่งแรกของไทย”
ทางการ (สมัยนั้น) ยอมย้ายเส้นทางออกไปพ้นเมืองเก่า แล้วสร้างใหม่เป็นถนนเลี่ยงเมืองกว้างขวางโอ่อ่าสง่างามทุกวันนี้
ถ้านักโบราณคดี (ครั้งนั้น) ไม่แข็งแรง และถ้าทางการสร้างถนน (ครั้งนั้น) ขาดสำนึกรักษาสมบัติวัฒนธรรมไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทาง ป่านนี้ไม่มีเหลือเมืองสุโขทัยเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ไทย และไม่เหลือเมืองสุโขทัยเป็นแหล่งสร้างมูลค่าก้อนโตทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวและอีเวนต์ประจำปี “เผาเทียน เล่นไฟ ลอยกระทง”
นักโบราณคดีคนสำคัญที่เป็นผู้คัดค้านอย่างเข้มข้นแข็งแรงการขยายถนนผ่ากลางเมืองสุโขทัย และขอให้เลี่ยงไปพ้นเมืองสุโขทัย คือ นิคม มูสิกะคามะ (เกิด 2482 ต. เคร็ง อ. ชะอวด จ. นครศรีธรรมราช) อดีตอธิบดีกรมศิลปากร (พ.ศ. 2540-2542) จบปริญญาตรีจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร