ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (ทีโอ) ประกาศผลการจัดอันดับภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่น ประจำปี 2559 ประเทศไทยได้ 35 คะแนนจาก 100 คะแนน ตกจากอันดับที่ 76 มาอยู่ที่ 101 ทำเอาบรรดาองค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริตประเทศไทย และแม่น้ำสองสาย สามสาย หงุดหงิดติดใจ สงสัยกันไปตามๆ
ทั้งๆ ที่ปลายปีที่ผ่านมา ธนาคารโลกเปิดตัวรายงานการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ DOING Business 2017 ปรับอันดับให้ประเทศไทยขึ้นไปอยู่ที่ 46 จาก 49 ในปีที่ผ่านมา จาก 190 ประเทศทั่วโลกไทยยังคงอยู่ใน 50 ประเทศแรกที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
ที่น่าสนใจ ทั้งการจัดอันดับดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นและ Doing Business ประเทศนิวซีแลนด์ได้อันดับหนึ่งของโลกทั้งสองรายการ
ผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทยพยายามหาเหตุผล คำตอบ และคำอธิบายเพื่อไม่ให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของนานาชาติและความงุนงงสงสัยของประชาชนคนไทยด้วยกันเอง
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เริ่มกระบวนการตามโรดแมปปฏิรูปประเทศ ยกร่างรัฐธรรมนูญที่คณะผู้ยกร่างประกาศด้วยความชื่นชมว่าเป็นฉบับประวัติศาสตร์ ต้องให้ฉายาว่าฉบับปราบโกง ซึ่งน่าจะได้ผลที่สุดนับแต่มีรัฐธรรมนูญมา
ขณะที่แม่น้ำสายอื่นๆ ต่างภูมิอกภูมิใจในการผลักดันการปฏิรูปประเทศทุกด้าน เข็นกฎหมายที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมาได้สำเร็จประกาศใช้แล้วและกำลังอยู่ในกระบวนการอีกหลายฉบับ
โดยเฉพาะผลงานชิ้นเอกเพื่อปราบปรามคอร์รัปชั่นโดยตรงคือ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเปิดทำการไปเรียบร้อยแล้ว กำลังจะตามมาด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ในนามกฎหมายปราบทุจริต 4-7 ชั่วโคตร พ.ร.บ.ว่าด้วยการคุ้มครองติดตามทรัพย์สินของแผ่นดินคืนจากการทุจริต พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
กฎหมายเหล่านี้จะเป็นประจักษ์พยานยืนยัน รองรับทศวรรษแห่งการขจัดคอร์รัปชั่น ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป
ผลงานมากมาย แต่เหตุไฉนองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติถึงมองไม่เห็นความตั้งใจและความพยายามที่ทำมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเท เสียสละ
ทำไม ทำไม ทำไม ผลการจัดอันดับกลับตรงกันข้าม เพราะอะไร
ครับ เข้าใจได้ไม่ยากเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่ว่า ล้วนต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ยืนยันความสำเร็จด้วยความเป็นจริงทางปฏิบัติในอนาคต นั่นคือกระบวนการบังคับกฎหมายที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ยังไม่ปรากฏการลงโทษที่เป็น
รูปธรรมนั่นเอง
ขณะที่ความเป็นจริงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ประเด็นเกี่ยวกับความเปิดเผย โปร่งใส สิทธิเสรีภาพในการติดตาม ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ เข้าถึงข้อมูลกรณีอื้อฉาวต่างๆ ยังมีจำกัดและเป็นปัญหาดังที่รู้ๆ กันอยู่
ผลจากการเมืองยุคพิเศษ ต้องใช้อำนาจกลไกพิเศษ ความไม่สมบูรณ์ของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนำมาเป็นปัจจัยพิจารณาด้วย
เป็นเรื่องของความเชื่อที่แตกต่างกันในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่น ระหว่างระบอบอำนาจพิเศษกับระบอบประชาธิปไตย ทิศทางใดจะเอื้อต่อการจัดการปัญหาคอร์รัปชั่น ทำให้เกิดความเปิดเผยโปร่งใสจริงมากกว่ากัน
ยิ่งเกิดกรณีอื้อฉาวขึ้นมาติดๆ ตั้งแต่สำนักงานการปราบปรามการทุจริตของประเทศอังกฤษ (เอสเอฟโอ) เปิดเผยว่าบริษัทโรลส์-รอยซ์ จ่ายสินบนจัดซื้อจัดจ้างในบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัทเจเนอรัลเคเบิล ผู้ผลิตสายเคเบิลและสายไฟจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าภูมิภาคและบริษีททีโอที
ข่าวหลุดออกมาจะเป็นความตั้งใจหรือบังเอิญประจวบเหมาะกันพอดีก็ตาม เป็นใบเสร็จยืนยัน เพิ่มน้ำหนักให้กับการจัดอันดับประเทศไทยขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติไปโดยปริยาย
ผลการจัดอันดับของไทยจะขยับดีขึ้นหรือลดลง จึงอยู่ที่ผลงานเชิงประจักษ์ จัดการกับกรณี
อื้อฉาวต่างๆ เหล่านี้และเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วให้เห็นผล เป็นธรรม มีมาตรฐาน เล่นงานขบวนการทุจริตเอาคนผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เกิดการลงโทษที่ชัดเจน
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัจจัย ตัดสินว่าความโปร่งใสควรอยู่อันดับไหน หาใช่การป่าวประกาศผลงานที่เป็นรายงานยังไม่เกิดการปฏิบัติจริง หรือการตอบโต้หลักเกณฑ์ มาตรฐานตัวชี้วัด กระบวนการจัดอันดับขององค์กรโปร่งใสสากล
ทำนองเดียวกันกับการถูกจัดอันดับในเรื่องอื่นๆ และมีปฏิกิริยาออกมาทุกครั้ง เป็นต้นว่าอย่าให้ความสำคัญมากนัก ไม่ควรตื่นเต้นจนเกิดเหตุ
จนถึงขนาดเสนอให้ปฏิเสธและถอนตัวออกจากองค์กรจัดอันดับนานาชาติทั้งหลาย อย่าร่วมวง วิสาสะกับพวกตาบอดสี มองไม่เห็นและไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราทำแทบตายอีกต่อไป
ครั้งนี้จะไปไกลถึงขนาดนั้น เหมือนดังเช่น การจัดอันดับความสามารถทางการศึกษา PISA 2015 เมื่อเร็วๆ นี้ หรือไม่
รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ประชาธิปไตยภายใต้กำกับจะช่วยได้มากน่อยแค่ไหน น่าติดตามปฏิกิริยาที่จะเกิดต่อไป
สมหมาย ปาริจฉัตต์