ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
ครู ตามหา พ.ร.บ.การศึกษา
รัฐบาลเศรษฐาแถลงนโยบายต่อรัฐสภาวันที่ 11 กันยายน 2566 รัฐสภาเปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีที่ 1 ครั้งที่ 2 วันที่ 12 ธันวาคม 2566 จะปิดลงวันที่ 9 เมษายน 2567 นี้
ก่อนถึงวันนั้น วันที่ 25 มีนาคมนี้ วุฒิสภาจะเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 153 ต่อวันที่ 3-4 เมษายน พรรคฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152
เนื้อหาสาระที่ ส.ว.และ ส.ส.ออกตัวเตรียมไว้ในการอภิปราย คาดหมายล่วงหน้าได้เลยว่าคงทิ้งทวนไปที่ประเด็นปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง สไตล์การบริหารจัดการของรัฐบาลมิสเตอร์เซลส์แมน เป็นด้านหลัก
ประเด็นที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั้น คือ วิกฤตการศึกษาของชาติ ของเด็กไทย จะอยู่ในสายตาของวุฒิสมาชิกและพรรคฝ่ายค้าน แค่ไหน คำตอบยังอยู่ในสายลม
ปัญหาการบริหารการศึกษาประการหนึ่งที่จะพูดถึงในที่นี้ โดยเฉพาะการบัญญัติกฎหมายแม่บทเพื่อพัฒนาโครงสร้างการศึกษาที่มีความอืดอาดล่าช้า คือ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ
ที่ผ่านมาใช้เวลากว่า 10 ปี ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเข็นออกมาไม่สำเร็จ เพราะไม่สามารถจัดการกับความเห็นต่างหลากหลายจนหาข้อยุติได้
ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าประกาศชัดว่า ร่างกฎหมายการศึกษาฉบับใหม่ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ฉบับเดิมยังใช้การได้ดีอยู่ จะใช้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าฉบับใหม่ยกร่างเสร็จ เมือไหร่ก็เมื่อนั้น คุณภาพการศึกษาเด็กไทยจะมีชะตากรรมอย่างไร ตัวใครตัวมัน
เห็นแต่ว่าทุกรัฐบาลล้วนพูดทำนองเดียวกันมาตลอดว่า กฎหมายเดิมใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2542 25 ปีมาแล้ว ไม่ทันสมัยจำเป็นต้องยกร่างใหม่ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทั้งในประเทศและสากล
ความคืบหน้าล่าสุดรัฐบาลปัจจุบันโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจึงปัดฝุ่นร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับที่รัฐบาลก่อนส่งเข้าพิจารณาในรัฐสภาแต่เกิดยุบสภาเสียก่อน เสนอขอความเห็นชอบจาก พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเดือนมกราคม 2567 นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
ร่างกฎหมายยังไม่ถูกบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ รับผิดชอบดูแลการนำเสนอกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้รับข้อเสนอความคิดเห็นจากผู้แทนองค์กรครู ไม่เห็นด้วยใน 3 ประเด็นใหญ่
จึงส่งเรื่องคืนกลับให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาทบทวน นำเสนอเข้ามาใหม่ ก่อนส่งที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งกว่าจะเปิดสมัยสามัญประจำปีที่ 2 ก็วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 อีก 4 เดือน
ระหว่างนี้วุฒิสมาชิกหมดวาระวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 จะต้องมีกระบวนการเลือกตั้งวุฒิสภาชุดใหม่ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ จึงต้องรอๆๆๆๆๆๆ ต่อไป
จนกว่ารัฐสภาจะครบองค์ประกอบทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายนี้ร่วมกัน เพราะเข้าข่ายกฎหมายเพื่อการปฏิรูป ต้องประชุมร่วมกันทั้งสองสภา จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ไม่มีใครรับประกันได้
ประเด็นที่กลุ่มองค์กรครูคัดค้าน ได้แก่ หมวด 1 วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการศึกษา มาตรา 8 การพัฒนา ฝึกฝนและบ่มเพาะให้ผู้เรียนมีสมรรถนะต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามลำดับช่วงวัย
โดยแบ่งช่วงวัยของผู้เรียนออกเป็น 7 ช่วงวัย ช่วงวัยที่ 1 ตั้งแต่แรกเกิดจนมีอายุครบ 1 ปี ช่วงวัยที่ 2 อายุเกินหนึ่งปีจนถึงสามปี ช่วงวัยที่ 3 อายุเกินสามปีจนถึง 6 ปี ช่วงวัยที่ 4 อายุเกิน 6 ปีจนถึง 12 ปี ช่วงวัยที่ 5 อายุเกิน 12 ปีจนถึง 15 ปี ช่วงวัยที่ 6 อายุเกิน 15 ปีถึง 18 ปี ช่วงวัยที่ 7 การศึกษาในระดับอุดมศึกษา
องค์กรครูไม่เห็นด้วยกับการแบ่งเป็นช่วงวัย แต่เห็นว่าควรกำหนดตามช่วงชั้น หรือระดับชั้นการศึกษาซึ่งสอดคล้องกับการจัดการศึกษามากกว่า
ช่วงชั้นที่ 1 ประถมศึกษาปีที่ 1-3 ช่วงชั้นที่ 2 ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ช่วงชั้นที่ 3 มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ช่วงชั้นที่ 4 มัธยมศึกษาตอนปลาย ม.4-6 ช่วงชั้นที่ 5 อุดมศึกษา
ในการประชุมรัฐสภาสมัยที่แล้ว ส.ส. ส.ว.อภิปรายถกเถียงเรื่องนี้กันหน้าดำหน้าแดง ใช้เวลานานหลายชั่วโมงมาแล้ว คงถูกหยิบยกขึ้นมาโต้แย้งกันอีก
ประเด็นต่อมา องค์กรครูเห็นว่า องค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ที่นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน ไม่มีผู้แทนครู ผู้ปกครอง และกรรมการสถานศึกษา อยู่ในนั้นจึงควรเพิ่มเข้าไป
ประเด็นต่อมา การกระจายอำนาจให้โรงเรียนเป็นนิติบุคคลเต็มรูปแบบ ให้มีอิสระความคล่องตัวและอำนาจในการตัดสินใจ และให้มีอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อกคศ.) ระดับกลุ่มโรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมามีแค่ อกคศ.ระดับเขตพื้นที่การศึกษา จึงควรขยายให้มีไปถึงกลุ่มโรงเรียน
ข้อเสนอขององค์กรครูที่ว่ามา คงมีคำถามเดิมๆ ตามมาอีกว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ของครู ของผู้บริหารก่อน เด็กนักเรียนหรือไม่
ไหนๆ จะเสนอข้อเรียกร้องเข้าไปในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ ซึ่งเน้นเรื่องสิทธิประโยชน์เป็นหลัก
นอกเหนือจากนโยบายแก้หนี้ครู คืนครูให้กับนักเรียน ยกเลิกการเข้าเวรของครู ลดภาระครูด้วยการจ้างและใช้ภารโรงร่วมกันซึ่งสมควรทำ แต่ไม่ใช่แก่น
แก่นคือ กระบวนการผลิตและพัฒนาครู ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาคุณภาพเชิงระบบ ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาปัจเจกบุคคล
ให้มีคณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยการผลิตและพัฒนาครู มีกองทุนพัฒนาครู มีโรงเรียนสำหรับการผลิตครูและสถาบันพัฒนาคณาจารย์ในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่
จะเข็นออกมาได้สำเร็จ วันไหน เมื่อไหร่ ประชาคมการศึกษาไทยกำลังติดตามด้วยความกังวลอย่างยิ่งว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นมาเสียก่อน