ปรองดองแค่เอื้อม โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข

แฟ้มภาพ

ไปทางไหนจะได้ยินแต่คำว่า “ปรองดอง”

เพราะรัฐบาล และคสช. ประกาศแผนงานสำคัญ ตั้งคณะกรรมการเตรียมการปรองดอง ซึ่งมีแนวคิดจะเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมาพูดคุย เพื่อสร้างความปรองดอง

คำว่าปรองดองมีความหมายดี และไม่มีขีดขั้นจำกัด เมื่อรัฐบาลเสนอขึ้นมา หากใครปฏิเสธก็คงจะแปลกๆ

เราจึงได้ยินแต่เสียงขานรับจากทุกฝ่าย

Advertisement

แต่พอมาถึงจุดที่ว่า จะเริ่มต้นปรองดองกันยังไง แต่ละคนแต่ละฝ่าย จะอยู่ตรงไหนของแผนการปรองดอง ตรงนี้เริ่มจะเป็นปัญหา

ดังนั้น จึงมีคำถามว่า รัฐบาลจะให้ใครปรองดองกับใคร จะให้ไปปรองดองกันตรงไหน

ตัวชี้วัดว่าความปรองดองได้เกิดขึ้นแล้ว อยู่ตรงไหน

Advertisement

ที่ว่าจะเชิญตัวแทนพรรคการเมืองละ 10 คนไปพูดคุยปรองดอง คงไม่มีใครขัดข้อง แต่อยากจะรู้กันว่าจะคุยกันแบบไหนอย่างไร

คุยแล้วจะนำไปสู่อะไร ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่า เสร็จแล้วอาจต้องเซ็นสัญญา เซ็นเอ็มโอยู

ในเรื่องนี้ มีผู้เสนอทำนองว่า เซ็นสัญญาสงบศึกกัน บ้านเมืองจะได้สงบๆ เลือกตั้งแล้วทุกอย่างจบ

เรื่องนี้ก็น่าคิดเหมือนกันว่า จะสงบศึกสงครามที่ไหนกัน ในเมื่อทั้งหลายทั้งปวง เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางความคิด เป็นความเห็นต่างทางความคิดเท่านั้นเอง

ถ้าเป็นการศึกสงคราม ยังพอมีรูปธรรมว่า เซ็นสัญญาสงบศึกกันแล้ว ให้วางปืน หยุดยิงกี่โมง ถอนกำลังระยะทางกี่กิโลเมตร

ปรองดองแบบนั้น น่าจะเกิดในพื้นที่ซึ่งมีเหตุไม่สงบ เช่น 3 จังหวัดใต้มากกว่า

หรือปรองดองแบบผู้ว่าฯรุ่นเก่าๆ จับตระกูลที่ฆ่าล้างแค้นกันจนล้มตาย มาดื่มน้ำมนต์ อโหสิกรรมเลิกล้างแค้นกัน ถ่ายรูปขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ ก็ได้ผลระดับหนึ่ง แต่บางแห่ง พอผู้ว่าฯย้ายไปก็เริ่มเปิดศึกกันใหม่

แต่การปรองดองในครั้งนี้ เป็นการปรองดองกันทางการเมือง

ไม่ได้ฆ่ากันฟันกัน เพียงแต่เห็นต่างกัน

ความเห็นต่าง และการแสดงออกซึ่งความเห็นต่าง ในสังคมปกติ ไม่เป็นความผิดทางกฎหมาย

แต่มีบ้านเรานี่แหละ ที่ไปล็อกเอาไว้ ให้เห็นว่าเป็นความผิด เป็นความปั่นป่วน ซึ่งจะต้องจัดการให้เกิดการปรองดอง

ดังนั้น หากต้องการให้เกิดความปรองดอง รัฐบาลลองผ่อนคลายบรรยากาศก่อนได้ไหม

ทำเรื่องที่รัฐเห็นว่า ผิดกฎหมาย ให้ถูกกฎหมาย

นั่นคือ เปิดให้ทุกฝ่ายได้ออกมาพูด ได้ออกมาแสดงความเห็น

ทำให้การแสดงความคิดเห็น เป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิเสรีภาพที่พลเมืองพึงมีพึงใช้

ถ้านายกฯ พูดปัญหาบ้านเมืองได้เต็มที่ รัฐมนตรีพูดเรื่องการบ้านการเมืองได้ คนอื่นๆ ก็ต้องพูดได้ด้วย อย่างเต็มที่เหมือนๆ กัน

ห้ามอย่างเดียว คือ พูดกันแล้ว ถ้าเกิดผิดหู อย่าลุกขึ้นมาฆ่ากัน

กฎหมายบ้านเมืองมี ผู้ใช้กฎหมายก็เป็นกลางให้มากๆ หน่อย อย่าไปถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความสงบจะมาเอง

ชาวบ้านยอมเสียสิทธิ พักใช้เสรีภาพมาเป็นปีๆ แล้ว เหลือแต่บางพวก เลิกหน้ามืดตามัวทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งเมื่อไหร่ ความปรองดองน่าจะเกิด โดยไม่สิ้นเปลืองงบตั้งกรรมการด้วย

ปลดล็อกความคิดตัวเองก่อน การปรองดองอาจจะง่ายขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image