ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ภูมิอกภูมิใจกับผลงานการดำเนินนโยบายการศึกษาครบ 6 เดือน โดยเฉพาะการลดภาระครู ด้วยการยกเลิกครูเวร ไม่ต้องผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่โยงเฝ้าโรงเรียน
พร้อมกันนั้นเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบจ้างนักการภารโรงให้แก่โรงเรียนที่ขาดให้มีครบทุกโรงเรียนจำนวน 14,210 อัตราในปี 2567 และ 25,370 อัตราในปี 2568 จากนั้นจะของบประมาณในปีต่อๆ ไปอย่างต่อเนื่อง
ผลงานจากนโยบายนี้น่ายินดียิ่งขึ้นไปอีก ขนาดนักการศึกษาขาประจำอย่าง ศ.สมพงษ์ จิตระดับ ออกปากชมว่าการดูและคุณภาพชีวิตครูถือว่าสอบผ่านมีผลงานชัดเจน
ทั้งยกเลิกการอยู่เวร จ้างภารโรง ลดภาระในการจัดทำเอกสารเพื่อขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ แก้หนี้ครูและเตรียมแจกอุปกรณ์การสอนหรือแท็บเล็ตหรือโน้ตบุ๊ก การดำเนินการทั้งหมดนี้ทำให้ครูมีความพึงพอใจ
ก็แน่นอนสิครับ ครูได้รับผลประโยชน์เต็มๆ ไม่ว่าเป็นใครย่อมดีใจด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคุณภาพชีวิตสะดวกสบายขึ้น ลดงานที่ไม่จำเป็นลง แม้หนี้สินที่กู้มาจากแหล่งเงินต่างๆ ยังกวนใจอยู่อีกมากมายแค่ไหนก็ตาม
สิ่งที่น่าคิดในมุมของคุณภาพการศึกษา มีคำถามตามว่า เมื่อครูมีเวลาเพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว คุณภาพการสอนของครู คุณภาพการเรียนของนักเรียนจะดีขึ้นตามไปด้วยหรือไม่
นายสุรศักดิ์เองก็ยังออกปากยอมรับว่า การยกเลิกการอยู่เวรของครู หรือการจ้างนักการภารโรง อาจไม่ใช่มิติด้านคุณภาพ แต่เป็นการลดภาระครู สุดท้ายทุกอย่างจะสะท้อนกลับไปที่ประสิทธิภาพการเรียนการสอน และประสิทธิภาพผู้เรียน
ฉะนั้น ประเด็นคุณภาพ ประสิทธิภาพนี้แหละ ต้องให้วัน เวลาเป็นตัวพิสูจน์
ด้วยการติดตาม ประเมินผลในทางปฏิบัติ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงหลังจากนี้ ผลประโยชน์จะตกไปถึงนักเรียนแค่ไหน
ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าการดำเนินนโยบายนี้เป็นเรื่องของการให้ความสะดวกสบายเป็นรายปัจเจก ขณะที่การพัฒนากระบวนการเรียนการสอน การพัฒนาครูเชิงระบบ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ จำเป็นเร่งด่วน จะต้องดำเนินการทันทีควบคู่กันไป
6 เดือนที่ผ่านมายังไม่เห็นความชัดเจนในเรื่องการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง การเร่งเครื่องปฏิรูป ยกระดับการพัฒนาคุณภาพครู อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ทั้งครูใหม่ นักศึกษาวิชาชีพครูที่จะจบการศึกษาออกมาเป็นครู ทั้งครูเก่าหลายแสนคน ซึ่งประจำการในสถานศึกษาทุกระดับ ทุกประเภทการศึกษา
ในส่วนของครูใหม่หรือว่าที่บัณฑิตครู มีข่าวสารความเคลื่อนไหวที่น่ายินดี เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงทางวิชาการในการพัฒนาครูและนักศึกษาวิชาชีพครู กับมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่งทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน คณะครุศาสตร์ต่างๆ ได้ลงนามความตกลงกับโรงเรียนในเครือข่าย เพื่อพัฒนาและช่วยเหลือด้านวิชาการในเชิงพื้นที่
ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความพยายามของสถาบันการศึกษาในการพัฒนาครูใหม่ให้เป็นครูที่มีคุณภาพ มีจิตวิญญาณความเป็นครู ซึ่งต้องติดตามผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกเช่นกัน
เมื่อบัณฑิตครูจบการศึกษาแล้วมีงานทำ ในวิชาชีพครูจริงๆ มากน้อยเพียงไร ขณะที่ตลาดวิชาชีพครูเป็นตลาดเปิด แข่งขันกันผลิตอย่างเสรี ทำให้สภาวะครูใหม่ล้นตลาดยังดำรงอยู่
ตราบใดกระบวนการผลิตครูระบบปิด ขาดแค่ไหนผลิตแค่นั้น ยังไม่เป็นจริง ปัญหาบัณฑิตจบแล้วไม่มีงานทำตรงตามสาขาที่เรียนมา คงเป็นอยู่ต่อไป
กลุ่มที่น่าเป็นห่วงจึงน่าจะเป็นครูเก่า ครูประจำการในสถานศึกษาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
เมื่อได้รับการดูแลจากรัฐมากขึ้น สะดวกสบายขึ้นการเร่งรัดพัฒนาตัวเองและพัฒนาเชิงระบบ เป็นเรื่องที่รัฐบาลและครูทุกท่านต้องทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง
ผู้กำหนดนโยบายโดยเฉพาะฝ่ายการเมือง ต้องเร่งรัดให้เกิดโครงการ มาตรการ ยกระดับคุณภาพครู พัฒนาครู พัฒนาคุณภาพการเรียน การเรียนการสอน อย่างจริงจัง
ต้องทุ่มเทงบประมาณเพื่อการนี้อย่างเต็มที่ ไม่น้อยไปกว่านโยบาย ลดแลกแจกแถม ลดภาระด้วยมาตรการต่างๆ ที่ทำมา
หน่วยงาน องค์กรที่รับผิดชอบการพัฒนาครู ต้องได้รับการสนใจเอาใจใส่ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่สถาบันผลิตครูได้ขับเคลื่อนไปก่อนล่วงหน้าแล้ว
ถ้าทำให้กระบวนการผลิตและพัฒนาครู ดำเนินไปพร้อมกัน ทำงานร่วมกันได้ ความคาดหวังที่จะเห็นคุณภาพการศึกษาพัฒนาขึ้น ภายหลังโรงเรียนมีภารโรงครบถ้วน ถึงจะเป็นจริง
เมื่อประโยชน์ส่งถึงเด็ก ถึงนักเรียนจริงๆ ถึงวันนั้นค่อยภูมิอกภูมิใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ