สงครามใหญ่ในภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

สํานักข่าว IRNA ของอิหร่านประกาศเมื่อค่ำวันที่ 13 เมษายนนี้ว่า กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่านได้ทำการยิงโดรนและขีปนาวุธจำนวนมากไปยังอิสราเอลเป็นการตอบโต้อิสราเอล ที่ได้ส่งเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดใส่สถานทูตอิหร่านในกรุงดามัสคัส ประเทศซีเรียเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมานี้ ซึ่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านระบุในถ้อยแถลงว่า มีที่ปรึกษาด้านการทหาร 7 นาย เสียชีวิตในเหตุโจมตี ในนั้นรวมถึง โมฮัมหมัด เรซา ซาเฮดี ผู้บัญชาการระดับสูงของกองกำลังกุดส์ ซึ่งรับผิดชอบการปฏิบัติการในต่างประเทศของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน นอกจากนี้ยังมีการเตือนโดยตรงไปยังสหรัฐเมริกาว่า หากสหรัฐอเมริกาให้การการสนับสนุน หรือมีส่วนร่วมใดๆ ในการทำลายผลประโยชน์ของอิหร่านจะต้องเผชิญกับการตอบโต้อย่างเด็ดขาดจากกองทัพอิหร่านอย่างแน่นอน

ปรากฏว่าทางการอิสราเอลเริ่มจับสัญญาณได้ว่ามีการยิงโดรนจากอิหร่านเมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 13 เมษายน ซึ่งโดรนเหล่านี้ข้ามมาถึงน่านฟ้าอิสราเอลและถูกยิงสกัดได้ตั้งแต่เวลา 18.00 . โดยมีเสียงไซเรนเตือนภัยและเสียงระเบิดดังขึ้นในหลายเมืองทั่วอิสราเอล 

ทางการอิสราเอลอ้างว่ามีการยิงสกัดโดรนและขีปนาวุธจากอิหร่านมากกว่า 300 ลูก แต่ส่วนใหญ่มากกว่า 99% ถูกยิงสกัดเอาไว้ได้ ถึงขนาดมีรายละเอียดแจ้งด้วยว่าโดรนกามิกาเซ 185 ลำ ถูกยิงตกหมด ส่วนขีปนาวุธ 139 ลูก ที่อิหร่านยิงเข้ามาถูกยิงตก 132 ลูก โดยมีกองกำลังของสหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส เข้าร่วมในการปกป้องน่านฟ้าอิสราเอลครั้งนี้ด้วย นอกจากการโจมตีโดยตรงจากอิหร่านแล้ว อิสราเอลยังรายงานว่ามีการยิงขีปนาวุธ 25 ลูก มาจากเลบานอน โดยเป็นการโจมตีต่อเนื่องหลังจากที่มีการยิงขีปนาวุธอย่างน้อย 10 ลูกจากเลบานอนเข้าโจมตีพื้นที่ภาคเหนือของอิสราเอลเมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 เมษายนนี้

สรุปการที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลเพื่อเป็นการล้างแค้นครั้งนี้เป็นการล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเปิดฉากหน้าใหม่ที่การโจมตีอิสราเอลครั้งนี้เป็นการโจมตีจากอิหร่านโดยตรง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาอิหร่านจะใช้สงครามตัวแทนโดยให้พวกฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน, ฮามาส และอิสลามิกญิฮาดในปาเลสไตน์ และพวดฮูซีในเยเมนส่งโดรน ยิงจรวดและขีปนาวุธเข้าโจมตีอิสราเอลแทนมานับ 10 ปีแล้ว

Advertisement

สำนักข่าว IRNA ของอิหร่านแจ้งว่า คณะผู้แทนถาวรของอิหร่านประจำสหประชาชาติได้อ้างถึงการโจมตีอิสราเอลของอิหร่านว่าเป็นไปตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายในการป้องกันตนเอง เพราะเป็นการตอบโต้การโจมตีของอิสราเอล หลังจากได้โจมตีสถานทูตอิหร่านในกรุงดามัสกัส ในประเทศซีเรีย อันถือว่าสถานทูตเป็นดินแดนของอิหร่าน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของอิหร่านเสียชีวิตหลายราย และการโจมตีอิสราเอลถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ จากคำแถลงยังระบุว่า หากอิสราเอลทำการโจมตีอิหร่านกลับคืนการตอบโต้ของอิหร่านจะรุนแรงยิ่งขึ้นมาก

ในช่วงบ่ายของวันที่ 14 เมษายนนี้เอง กองทัพอิสราเอลได้ประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายที่จำกัดให้พลเรือนต้องหลบอยู่ใกล้ที่พักห้ามออกมาข้างนอกแล้ว แต่ยังคงห้ามการชุมนุมในประเทศ และรัฐบาลอิสราเอลประกาศว่าจะมีปฏิบัติการเอาคืนจากอิหร่านอย่างแน่นอนในเวลาที่เหมาะสม เป็นนัยว่าในตอนนี้จะยังไม่มีการตอบโต้อิหร่านกลับเพราะยังมีสงครามเต็มมืออยู่ที่ฉนวนกาซาและสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรยุโรปทั้งหลายที่สนับสนุนอิสราเอลอยู่นั้นก็มีค่าใช้จ่ายท่วมตัวในการช่วยยูเครนรบกับรัสเซียอยู่แล้ว โดยเฉพาะรัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ปลายปีนี้ ย่อมไม่อยากมีภาระค่าใช้จ่ายที่กระทบกับเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นปัญหาสำคัญในการหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม สงครามระหว่างอิสราเอลโดยการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่านก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะความเป็นรัฐศาสนาของอิหร่านที่ตั้งมั่นอยู่ได้เพราะมีเหล่าทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps) ที่รวบรวมทหารจากหลายหน่วยที่มีความภักดีต่อรัฐศาสนาของอิหร่าน ซึ่งมาจากแนวคิดที่ว่าต้องมีกองกำลังเป็นของตัวเอง เพราะความไม่ไว้วางใจกองทัพเดิมที่เคยภักดีต่อพระเจ้าชาห์ กษัตริย์พระองค์เดิม โดยในระยะแรกของการก่อตั้งเหล่าทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามนั้นเน้นไปที่การป้องกันภัยคุกคามภายในเป็นหลัก เนื่องจากไม่ไว้ใจกองทัพแห่งชาติของอิหร่านเดิม จึงมีการก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาก็เพื่อคานอำนาจกับกองทัพ และป้องกันการแทรกแซงล้มระบบการปกครองใหม่ที่ยังไม่มีเสถียรภาพของกองทัพนั่นเอง

Advertisement

เหล่าทัพพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามมีกำลังพลอยู่ 1 แสน 5 หมื่นนาย นอกจากนี้เหล่าทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามยังมีกำลังพลอีก 2 หมื่นนาย ซึ่งทำหน้าที่ใช้เรือรบลาดตระเวนในช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการเผชิญหน้ากับเรือบรรทุกน้ำมันต่างชาติหลายครั้งใน พ..2562 เหล่าทัพพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามยังควบคุมหน่วยบาซีจ (Basij) ซึ่งเป็นกองกำลังอาสาที่ช่วยปราบปรามความไม่สงบในประเทศ อิหร่าน สามารถระดมพลจากกองกำลังนี้ได้หลายแสนคนเลยทีเดียว ดังนั้น เหล่าทัพพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามก็คือกองทัพขนาดใหญ่ เป็นขั้วอำนาจการเมือง และทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจของอิหร่าน แม้ว่าเหล่าทัพพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามจะมีกำลังพลน้อยกว่ากองทัพหลักของอิหร่าน แต่ถือว่าเป็นกองกำลังทหารที่มีอำนาจเด็ดขาดมากที่สุดในประเทศอิหร่านนั่นเอง

กองกำลังกุดส์ (Quds Force) ไม่ทราบจำนวนกำลังพลแน่ชัด บ้างว่า 2,000-5,000 นาย บ้างประมาณว่า 15,000 นาย เป็นหน่วยงานชั้นยอดของเหล่าทัพพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม รับผิดชอบกิจกรรมพิเศษด้านต่างประเทศและหน่วยสืบราชการลับ และมีการวางแผนและกำหนดยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของอิหร่านในความพยายามต่อสู้กับอิทธิพลตะวันตก และส่งเสริมการขยายอิทธิพลอิหร่านทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง กองกำลังกุดส์ให้การสนับสนุนและมีสายสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับกองกำลังกบฏในหลายประเทศ เช่น ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน, ฮามาส และอิสลามิกญิฮาด ในปาเลสไตน์, กบฏฮูซีในเยเมน และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและระดมพลนักรบชีอะห์ในอิรัก, ซีเรีย และอัฟกานิสถาน ซึ่งมักจะเป็นภารกิจลับจนกระทั่งอิหร่านเข้าร่วมสงครามต่อต้านไอซิสในอิรักและซีเรีย จึงเปิดเผยถึงกองทัพกุดส์ที่เป็นหน่วยงานหลักของอิหร่านในการระดมพลนักรบอาสาสมัครชีอะห์จากประเทศอิหร่าน, อัฟกานิสถาน (ในชื่อกองกำลังฟาติมียูน) จากปากีสถาน (ในชื่อกองกำลังซัยนาบียูน) เข้าไปร่วมรบในซีเรีย และให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยกับกองกำลังคาเต็บ ฮิซบอลเลาะห์ (เคเอช) เป็นกองกำลังของชาวอิรักชีอะห์ที่ทำการต่อสู้กับกลุ่มไอเอสในอิรักเป็นอาทิ

การที่อิสราเอลอาจจะยังไม่เอาคืนในเร็ววันนี้ก็เพราะอิหร่านมีประชากร 87.5 ล้านคน และสามารถระดมพลเต็มที่ได้ถึง 49.05 ล้านคน ในขณะที่อิสราเอลมีประชากรเพียง 9.04 ล้านคน สามารถระดมพลได้เต็มที่เพียง 3.80 ล้านคนเท่านั้น

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image