ลุ้น ประชามติ ปลุกกระแส’ตัวช่วย’ โหวตรธน.’ผ่านไปก่อน’

วิเคราะห์
กรณีร่างรัฐธรรมนูญที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานการยกร่างขึ้นมาจวบจนถึงขณะนี้ สามารถมองเห็นเจตนาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้ชัด

นั่นคือ เจตนาที่ต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้ประกาศใช้

ได้ใช้ตามเป้าหมายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ประกาศไว้

กรกฎาคม ปี 2560 เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

แม้นายมีชัยและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. จะขอยืดระยะเวลาออกไป เพราะเห็นว่ากระบวนการจัดทำร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต้องใช้เวลา

ADVERTISMENT

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ขอให้ยึดโรดแมปเดิม

ปี 2560 มีเลือกตั้ง

หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยัน คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในฐานะเจ้าภาพการจัดประชามติก็ทยอยคลอดขั้นตอน

สุดท้ายปักธงตาม พล.อ.ประยุทธ์

กำหนดวันที่ 31 กรกฎาคม ทำประชามติ

 

ขณะที่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 270 มาตราที่ กรธ.เปิดให้ประชาชนได้ศึกษา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และมีข้อเสนอแก้ไขกลับมาจำนวนมาก

ทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. คณะรัฐมนตรี หรือ ครม.

องค์กรอิสระอย่าง กกต. สภาพัฒนาการเมือง รวมถึงพรรคการเมือง

เครือข่ายพุทธศาสนา สมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้าน สมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

และอื่นๆ อีกหลากหลาย

ข้อเสนอที่ประดังเข้าใส่ กรธ. กระทั่งทำให้ กรธ.เห็นพ้องว่าต้องแก้ไข คือ หมวดสิทธิเสรีภาพ

อีกข้อเสนอหนึ่งที่ กรธ.เริ่มคล้อยตามคือ ประเด็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ในจำนวนข้อเสนอที่ส่งกลับให้ กรธ.แก้ไข นับว่าข้อเสนอของคณะรัฐมนตรีมีน้ำหนักสุด

ครม.มีข้อเสนอแนะ 16 ข้อ กล่าวถึงร่างรัฐธรรมนูญในหลายมิติ

แต่ข้อเสนอแนะด้านท้าย คือให้แบ่งระยะการใช้รัฐธรรมนูญออกเป็น 2 ช่วง

ช่วงสั้นเฉพาะกิจเฉพาะกาล ให้ยกเว้นข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดูแลความสงบสุขได้

หากพ้นจากช่วงเฉพาะกิจ จึงใช้รัฐธรรมนูญทั้งกระบิ เพื่อบริหารประเทศ

ข้อเสนอนี้ถูกตีความว่าเป็นการขอยืดอำนาจพิเศษให้ คสช.

 

น่าสังเกตว่าข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญจาก ครม.ก็ตาม หรือความเห็นที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเคยแย้มไต๋ก็ตาม

รวมไปถึงกระแสข่าวจากวงใน คสช.เกี่ยวกับแนวคิดที่จะปรับร่างรัฐธรรมนูญก็ตาม

ล้วนวนเวียนอยู่กับแนวคิดทางการเมืองบนพื้นฐานที่ไม่ต้องการนักการเมืองที่มีมลทินเข้ามา

อาทิ ล้างไพ่ใหม่ ยุบพรรคการเมืองเก่า แล้วเปิดโอกาสให้ตั้งพรรคการเมืองใหม่ การกำหนดให้ ส.ว.มาจากการสรรหา การเสนอระบบเลือกตั้งแบบใหม่ 1 เขตมี 3 คน แต่ประชาชนโหวตเลือกได้แค่คนเดียว

หรือข้อเสนอของ ครม. ซึ่งถึงมือนายมีชัย และมีการเปิดเผย

ออกมา ยังเป็นข้อเสนอที่ไม่มั่นใจในสถานการณ์

ยังขอให้มีอำนาจพิเศษในช่วงประกาศใช้รัฐธรรมนูญไปแล้ว

ส่วนข้อเสนอที่อื่นๆ จากหน่วยงานต่างๆ ที่คาดหวังให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยเปลี่ยนไปมากกว่านี้

นายมีชัยเองก็ยอมรับว่าทำไม่ได้

ดังนั้น ร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัยจึงมีแนวโน้มที่จะคงเนื้อหาสาระในฉบับเดิมไว้ส่วนใหญ่

ทุกอย่างไปวัดกันที่ประชามติ

 

การจะฝ่าด่านประชามติไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย มีร่างรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญฉบับอื่นยืนเป็น “ต้นแบบ” ให้เปรียบเทียบ

ทั้งรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ถูกฉีกไปเมื่อการยึดอำนาจปี 2549

ทั้งรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เพิ่งถูกฉีกไปเมื่อการยึดอำนาจปี 2557

ทั้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ยกมือโหวตคว่ำไป

แค่ 3 ฉบับก็มีข้อดี-ข้อเสียที่จะเปรียบเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยนี้มากแล้ว

อาทิ การเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน กลุ่มที่เคลื่อนไหวให้แก้ไขก็หยิบยกเนื้อความในรัฐธรรมนูญฉบับเก่าขึ้นมาอ้าง

หรือข้อเรียกร้องของกำนันผู้ใหญ่บ้าน หรือข้อเรียกร้องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่างก็หยิบยกเนื้อหาจากร่างเดิมๆ มาเปรียบเทียบเช่นกัน

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยจึงต้องดีกว่า จึงจะผ่านประชามติไปได้โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วย

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ คสช.มีความมุ่งมั่นต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยผ่าน

คสช.จึงต้องมีตัวช่วย

 

เมื่อครั้งที่ผ่านรัฐธรรมนูญปี 2550 กลุ่ม “ตัวช่วย” ตระเวนไปทุกหมู่บ้านเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนก่อนลงประชามติ

ขณะเดียวกัน การปลุกกระแส “ผ่านไปก่อนแล้วค่อยแก้ไข” ก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจ

เมื่อผนวกกับความหวังที่ว่า หลังการเลือกตั้ง อะไรๆ น่าจะดีกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ความรู้สึกนี้กลายเป็นตัวเสริมเรื่อง “ผ่านไปก่อนแล้วค่อยแก้”

การประชามติรัฐธรรมนูญปี 2559 ก็คงมี “ตัวช่วย” ไม่แตกต่าง

หนึ่ง ตัวช่วยที่ คสช.ขอใช้กำลังทหารลงไปทำความเข้าใจอธิบายเรื่องร่างรัฐธรรมนูญจนถึงชุมชนหมู่บ้าน

ดึงลูกหลานที่เป็นนักศึกษาวิชาทหารเป็นสื่อช่วยประชาสัมพันธ์ในการลงประชามติ

อีกหนึ่ง เป็นตัวช่วยของกระแส “ให้ผ่านไปก่อน” ซึ่งหากเป็น

กระแสโดดๆ ขึ้นมาย่อมไร้พลัง เพราะคนไทยเคย “ผ่านไปก่อน” มาแล้วเมื่อปี 2550

แต่หากผนวกกับกระแสแห่งความกลัวและความหวัง

ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารที่ระบุว่า หากประชามติไม่ผ่าน ต้องเผชิญหน้ากับรัฐธรรมนูญ คสช.ที่หนักหนาสาหัสกว่านี้

หรือกระแสที่สะพัดว่า ถ้าประเทศไทยไม่รีบเลือกตั้ง มีรัฐบาลพลเรือน เศรษฐกิจของชาติจะย่ำแย่ลงไปอีก

กระแสเหล่านี้เมื่อกระพือขึ้น ย่อมไปเสริมให้เกิดความรู้สึก “ผ่านไปก่อน” ให้มีพลัง

ถ้ากระแส “ตัวช่วย” ซึ่งเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างปลุกขึ้นมาได้

โอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยจะผ่านก็พอเห็น

ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของฝ่ายที่มั่นใจว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยผ่านประชามติแน่

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยจะผ่านหรือไม่ผ่านประชามติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการประชามติย่อมมีโอกาสสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้ง ความร้าวฉาน
ถ้าไม่ผ่านประชามติแล้วใช้รัฐธรรมนูญที่ พล.อ.ประยุทธ์ปรับแก้ อาจจะเกิดการต่อต้าน

ถ้าผ่านประชามติแล้วใช้รัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหา “ผ่านไปก่อน” อาจจะเกิดความร้าวฉานในอีกหลายปีต่อไป

เหมือนเช่นรัฐธรรมนูญปี 2550 เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

การเมืองในปัจจุบันเป็นผลมาจากอดีต และจะส่งผลต่อไปยังอนาคต

การเมือง ณ ปัจจุบันสำคัญ

การร่างรัฐธรรมนูญ ณ ขณะนี้ก็สำคัญ