เจตนา กับ ผล จาก บทบาท “โฆษก” ในการ เรียกแขก

แถลงจาก พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ในกรณี “สงขลา” และในกรณี “การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง” กำลังเป็น “กรณีศึกษา”

ไม่เพียงแต่ 1 ในเรื่องความเป็นเอกภาพระหว่าง “เจตนา” กับ “ผล”

หากแต่ยัง 1 สะท้อนให้เห็นลักษณะแตกกิ่ง แยกสาขา ต่างไปจาก “เจตนา” ที่ต้องการ กับ “ผล” ซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นที่ต้องการ

กรณี “สงขลา” เจตนาคือ “ปราม” เห็นได้จากระบุลงไปเลยว่าเป็น “อดีตนักการเมืองในจังหวัด”

Advertisement

พร้อมกับขยายความออกไปด้วยว่า “มีนัยทางการเมืองแอบแฝงและแสดงบทบาทให้ประชาชนเห็นว่ามีความสำคัญ”

“แถลง” อย่างนี้ “เป้าหมาย” เฉพาะหน้าเด่นชัด

“อยากให้พี่น้องเกษตรกรมีเกียรติและศักดิ์ศรี ดำรงชีพอยู่ได้ยั่งยืน ไม่ตกเป็นเหยื่อให้ใครใช้เป็นเครื่องมือหรือแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง”

คำถามก็คือ ได้ผลตามเป้าหมายหรือไม่

การเรียงแถวตอบโต้ของนักการเมืองสงขลา การออกมาชี้แจงรายละเอียดโดยประธานชมรมชาวนาน่าจะเป็น “คำตอบ” ได้อย่างดี

ยิ่งกรณี “ภาษีสรรพสามิต” ยิ่ง “โก โซ บิ๊ก”

 

การออกมาแถลงของ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ในกรณีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินภายในประเทศ

เริ่มจากการยืนยัน 1 ความชอบธรรมในการปรับขึ้น

ขณะเดียวกัน 1 เหตุผลและความจำเป็นของการปรับขึ้นตามรายละเอียดอันได้มาจากกระทรวงการคลัง ต้นสังกัด

แต่ความน่าสนใจอยู่ที่การพาดพิงไปยังสถานะ “การคลัง” ของรัฐบาล

“จากข้อมูลฐานะการคลังของรัฐบาลเดือนธันวาคม 2559 ยังมีเงินคงคลังซึ่งเป็นตัวเลขที่หักลบรายได้และรายจ่ายแล้วคงเหลือ 74,907 ล้านบาท จึงสรุปได้ว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งเพียงพอ”

ไม่อยู่ในสภาพ “ถังแตก” อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน

กระนั้น ความเป็นจริงที่มาจาก ดร.เดชรัต สุขกำเนิด นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน

ก็น่าสนใจ

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด มิได้ออกมาตั้งโต๊ะนั่งแถลงข่าวเหมือนกับ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หากแต่เขียนข้อมูลผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว

มีรายละเอียด ดังนี้

ขออนุญาตช่วยท่านโฆษกชี้แจงเพิ่มเติมนะครับ ตอนเดือนกันยายน 2557 หลังจากรัฐบาล คสช.เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ

ตอนนั้นรัฐบาลมีเงินคงคลัง 495,747 ล้านบาท (หรือเกือบ 5 แสนล้านบาท)

ผ่านไป 2 ปีกว่า เงินคงคลังของรัฐบาลเหลืออยู่ 74,907 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาครับ เพราะฉะนั้น รัฐบาลยังไม่ถังแตกครับ

แต่มีเงินคงคลังลดลงไป 420,840 ล้านบาทเท่านั้นเอง

ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมว่าในระหว่างเดือนกันยายน 2557 จนถึงเดือนธันวาคม 2559 รัฐบาล คสช.ได้กู้ยืมเงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีก 744,187 ล้านบาทครับ

นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่า ถ้าได้รับโอกาสบริหารประเทศไปอีก 15 ปี ฐานะการคลังของประเทศจะเป็นอย่างไร

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

ทั้งๆ ที่เป็นการแถลงเรื่อง “การปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน” แต่เรื่องที่ตามมาคือ เรื่องของ “เงินคงคลัง”

มิได้เป็นคำถามต่อ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด

หากแต่สร้างเงื่อนไขและความจำเป็นให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รวมถึง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ตลอดจน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์

จำเป็นต้องออกมา “ชี้แจง”

เท่ากับว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ในฐานะ “โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ช่วยสร้างและขยายบทบาทให้โดยแท้

เช่นเดียวกับ กรณีของ “สงขลา” เป้าหมายที่แท้จริง คือ การสกัดกั้นโดยกระบวนการ “ป้องปราม” ไปยัง “นักการเมือง” ในพื้นที่ แต่ก็เท่ากับเป็นการเรียกแขกโดยปริยาย

เป็น “ผลงาน” และ “ความสำเร็จ” โดยฝีมือ “โฆษก”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image