ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD มีความปรารถนาถึงคนไทยต้องมีคำถาม
“น่าจะต้องเป็นคนที่ ‘มีคำถามในใจ’ ตั้งคำถามเป็น เหมือนอย่างมอตโตของ OKMD ตั้งแต่เริ่มต้น คำว่า ‘กระตุกต่อมคิด’ ยังใช้ได้ตลอด เป็นสกิลแบบหนึ่งที่คนไทยต้องมี ไม่ใช่ว่าเห็นอะไร รู้อะไร ฟังอะไรมา หรืออ่านอะไรเจอแล้วเชื่อก่อนเลย แต่ต้องกระตุกต่อมคิดให้ได้ว่า เอ๊ะ! เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ การค้นคว้า หาคำตอบเจอในมุมมองของตนเอง สามารถที่จะถ่ายทอดได้ คือทักษะที่สำคัญสำหรับเยาวชนในอนาคต เราถึงใช้มอตโตว่า ‘กระตุกต่อมเอ๊ะ’”
(ที่มา : คอลัมน์อาทิตย์สุขสรรค์ ใน มติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567 หน้า 9, 10)
“กระตุกต่อมเอ๊ะ” ของ OKMD เป็นเรื่องสำคัญ แต่สำเร็จยาก ซึ่งไม่ใช่ OKMD ไม่เก่ง แต่มาจากโครงสร้างสังคมอนุรักษนิยมของไทย ที่ดูจากการกลมกลืนของราชการไทยและการศึกษาไทย ดังนี้
(1.) ราชการไทย ระบบเจ้าขุนมูลนายศักดินา ข้าราชการเป็นนาย ประชาชนเป็นบ่าวไพร่หรือข้าทาส และ (2.) การศึกษาไทย ระบบท่องจำตามเถรวาทไทยในการศึกษาของพระสงฆ์ ห้ามคิดต่าง
การศึกษาไทยอยู่ใต้ระบบราชการไทยมาแต่กำเนิด ถึงแม้ปัจจุบันยุคดิจิทัลมหาวิทยาลัยจะอ้างว่า “ออกนอกระบบ” แต่การปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันยังรักษาระบบราชการเต็มที่ และอาจารย์มหาวิทยาลัยยังยึดมั่นถือมั่นระบบเจ้าขุนมูลนายศักดินาเต็มขนาด ด้วยการเรียนการสอนระบบท่องจำ ห้ามถามห้ามเถียง
ประวัติศาสตร์ “เพิ่งสร้าง” เพื่อผดุงอำนาจชนชั้นนำ ถูกพิทักษ์จากอาจารย์มหาวิทยาลัยเรื่องสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ซึ่งไม่มีหลักฐานวิชาการสนับสนุน แล้วบังคับสูญหายเรื่องอโยธยาเก่ากว่าสุโขทัย เพื่อผลประโยชน์ทับซ้อนจากการรับจ้างทำวิจัยสนับสนุนรัฐวิสาหกิจทำลายเมืองอโยธยา ด้วยการ “ปิดปาก” นักศึกษามีกิจกรรมอนุรักษ์เมืองอโยธยา ทั้งๆ เนื้อหาที่เรียนเพื่ออนุรักษ์โดยตรง
ระบบราชการอยู่เหนือการศึกษาไทย ส่งผลให้วงการประวัติศาสตร์ไทยออกอาการ “แหย” และ “เชื่อง” ไม่กล้านิยามและไม่กล้าอธิบายคนไทยเป็นใคร? มาจากไหน? โดยดูจาก (1.) หนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ (2.) ประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” ของกระทรวงวัฒนธรรม และ (3.) การจัดแสดงของมิวเซียมสยามเรื่องความเป็นไทย ต้องเลี่ยงแรงปะทะอนุรักษนิยม แล้วหาทางออกอย่างชาญฉลาดไปทางสร้างคำถามขำๆ ขันๆ ดูสนุก แต่ไม่สนอง “ต่อมเอ๊ะ”
ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร บอกต่อไปดังนี้
“ตอนนี้นโยบายสำคัญอย่างหนึ่งที่รัฐบาลส่งเสริมคือเรื่อง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ซึ่งรากฐานของซอฟต์พาวเวอร์ มาจาก Creative Economy พาวเวอร์ลักษณะนี้เป็นเรื่องของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งการที่จะสร้างสรรค์ได้ดี ต้องมี ‘ความรู้คู่ดีไซน์’
ความรู้ต้องมาจากการปฏิบัติ รู้แท้ สามารถนำไปสู่การทำมาหากินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับตัวเองได้
ปัจจุบันน้องๆ เยาวชนส่วนใหญ่สนใจที่จะเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ซึ่งต้องมีทักษะของการเล่าเรื่องเป็นคำเล็กๆ สามารถที่จะส่งต่อความรู้ ให้กับกลุ่มเป้าหมายของเขาได้ ทักษะในลักษณะนี้ มีความจำเป็นสำหรับโลกอนาคตใหม่
หัวใจสำคัญไม่ได้มีแค่เพียง ย่อยเป็น ย่อยง่าย หรือถ่ายทอดได้อย่างเดียว แต่ถ้ามันสามารถต่อยอดไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดอะไรใหม่ๆ ในอนาคต ประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้น การที่มีความรู้เป็นพื้นฐาน มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก และสามารถย่อยเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ต่อยอดให้เป็นความรู้ใหม่ๆ ได้ ก็จะทำให้เกิดการต่อยอดเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ได้ในอนาคต”
ทั้งหมดเกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง ตั้งแต่เริ่มด้วยข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเป็นพื้นฐาน ดังนี้ ความรู้พื้นฐาน—ความคิดสร้างสรรค์—กล้าแสดงออก—ย่อยเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย—ต่อยอดเป็นความรู้ใหม่—ต่อยอดเศรษฐกิจ
ปัญหาคือข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องอยู่ที่ไหน? กระทรวงศึกษาธิการ? กระทรวงวัฒนธรรม? กระทรวงอุดมศึกษาฯ? หรือ OKMD?
ถ้ามิวเซียมสยามยังไม่กล้าบอกความจริงตามหลักฐานวิชาการว่าคนไทยเป็นใคร? มาจากไหน? แล้วจะเอาข้อมูลความรู้ที่ถูกที่ควรจากอะไร?
ผมสนับสนุนแนวคิดและทิศทางของ OKMD แต่เห็นใจว่าเป็นไปยากมาก เพราะสังคมโน้มไปทางปกปิดข้อมูลจริงเพื่อประโยชน์ทับซ้อนของชนชั้นนำ ดังนั้นจึงจำคำบอกเล่าของ อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ มาฝากดังนี้
“ความได้เปรียบของอุดมศึกษาตะวันตกที่เขาทำงานสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มาจากความรู้ของเขาเอง ทำให้คิดและมองออกไปข้างหน้าได้
แต่ในโลกที่สามทำยาก เพราะเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยความรู้ที่เราสร้างคิดกันขึ้นมาเอง ได้แต่ลอกมาจากข้างนอก”
[ได้จากคำบอกเล่าของ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ (เกษียณอายุราชการ) ศาสตราจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]
“ต่อมเอ๊ะ” กระตุกได้ แต่ไม่เอ๊ะ