ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
ส.ว.ในมุมมืด
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน กรณี 40 ส.ว.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 17 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้มีคำสั่งรับคำร้อง กรณีนายเศรษฐาถูกกล่าวหาว่าแต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรีทั้งๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ไว้พิจารณา ส่วนการที่นายพิชิตได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว เมื่อความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงจึงไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป
นายเศรษฐาจะใช้เวลาทำคำชี้แจง ทันภายใน 15 วัน หรือจะขอขยายเวลาออกไปอีกตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่ทำได้ ก็ตาม
ประเด็นใหญ่ที่สังคมการเมืองต้องการรับรู้ก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาออกมาอย่างไร เมื่อไหร่
แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์การยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญของ 40 ส.ว.มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร ซ่อนจิตเจตนาที่แท้จริงไว้ในใจหรือไม่ ก็ยังดังขรมอยู่จนถึงวันนี้
เบื้องหน้าการยื่นคำร้อง ไม่ได้มุ่งทำความกระจ่างกรณีของนายพิชิตเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่รวมเลยไปถึงความต้องการสอยนายเศรษฐา ในฐานะผู้เสนอแต่งตั้งนายพิชิต มีโอกาสหลุดพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ หากศาลตัดสินมีความผิดจริง
ส่วนเบื้องหลัง แม้แกนนำ 40 ส.ว. ตัวเปิด หัวขบวนการยื่นคำร้องพยายามยืนยันว่าไม่มี เป็นการทำหน้าที่ของวุฒิสมาชิกตามกติกาประชาธิปไตยปกติ ไม่ได้เป็นเครื่องมือหรือเครือข่ายขบวนการล้มรัฐบาลของกลุ่มอำนาจเก่าแต่อย่างใด ก็ตาม
ไม่ได้ อารมณ์ค้าง เล่นไม่เลิก กวนน้ำให้ขุ่น อย่างที่มีเสียงวิจารณ์กัน ว่างั้นเถอะ
ผู้คนที่ติดตามความเคลื่อนไหว ฟังคำอธิบายแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องปกติหรือผิดปกติ นั่นก็สุดแท้แต่ข้อมูล ข่าวสาร ความคิดวิเคราะห์ของแต่ละท่าน ซึ่งแตกต่างกันไป
ความจริงที่แท้เป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ ความในใจที่เก็บไว้ ดีไปกว่า 40 ส.ว.
ประเด็นหนึ่ง ที่ทำให้การทำหน้าที่ของ 40 ส.ว.ถูกเคลือบแคลงสงสัย ทั้งๆ ที่ไม่ควรเป็นเรื่องเลยแม้แต่น้อย ก็คือ การไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อ ตัวตนที่แท้จริงของทุกคน ออกมาว่ามีใครเป็นใครบ้าง ไม่ว่าเปิดเผยด้วยตัวเอง หรือด้วยกระบวนการของวุฒิสภาโดยประธานวุฒิสภาก็ตาม
จริงอยู่ถึงแม้เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะเปิดเผยตัวตน ชื่อเสียงเรียงนาม หรือไม่ก็ได้ ไม่มีกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับว่าจะต้องเปิดเผย หรือกำหนดให้ประธานวุฒิสภาต้องแถลง
แต่กรณีทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่งหรือหลายคน แต่เป็นเรื่องความเป็นไปอันเกี่ยวเนื่องกับกิจการสาธารณะ ผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมโดยตรง
ความเป็นจริงก็คือ ทุกคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้ทรงเกียรติ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ล้วนเป็นบุคคลสาธารณะทั้งสิ้น
ข้อมูลข่าวสาร รายชื่อของทุกคนต้องถือว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ สังคมควรมีสิทธิได้รับรู้ในทันทีที่มีการยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภาและศาลรัฐธรรมนูญ
แต่กลับถูกทำให้อยู่ในมุมมืด ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องความลับ เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล จนกระทั่งมีผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่าจะมีลายเซ็นปลอม ซึ่งไม่น่าไปไกลถึงขนาดนั้น
ผลจากการเกิดกระแสเรียกร้อง วิพากษ์วิจารณ์ผ่านหน้าสื่อสารมวลชนทุกแขนง ในที่สุดรายชื่อโฉมหน้าของ 40 ส.ว.ก็ปรากฏออกมาสู่การรับรู้ของสังคมจนได้ ไม่ว่าจะหลุดมาจากฝ่ายใดก็ตาม
เทียบเคียงกับความเคลื่อนไหวอีกด้านหนึ่งจากกรณีนี้ที่น่าสนใจ ชื่นชม ยินดี ในคำแถลงคำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก้าวหน้า เปิดเผย โปร่งใส มากขึ้น
นั่นคือการเปิดเผย ตัวตน ผลการวินิจฉัยของตุลาการทั้ง 9 ท่านทุกขั้นตอน ท่านใดเป็นเสียงข้างมาก ท่านใดเป็นเสียงข้างน้อย
ซึ่งแต่ก่อนภายหลังเปิดเผยผลการวินิจฉัย สื่อสารมวลชนหรือผู้สนใจติดตามคำตัดสิน ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน ขวนขวายหาข้อเท็จจริง คาดเดากันไปต่างๆ นานาว่า ใครบ้างเป็นเสียงข้างมาก ใครบ้างเป็นเสียงข้างน้อย
เดาถูกบ้าง ผิดบ้าง จนนำไปสู่ความสับสน วิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสียหายบ่อยครั้ง
ความก้าวหน้าในการเปิดเผยคำแแถลงผลการตัดสินในกรณีนี้และทุกกรณีอื่นๆ ต่อไป เท่ากับยอมรับหลักการว่า คำตัดสิน การออกเสียงส่วนบุคคลของทุกท่านเป็นข้อมูลสาธารณะที่สังคมควรได้รับรู้ ไม่ใช่สิทธิส่วนตัวของแต่ละคนโดยสิ้นเชิง
จึงเป็นความกล้าหาญทางจริยธรรมของทุกท่าน
แม้จะมีเสียงหวั่นวิตก ว่าการเปิดเผยโฉมหน้า ตัวตนของตุลาการ ใครตัดสินอย่างไร อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยตามมา
แต่เมื่อถือหลัก ส่วนตัวขึ้นต่อส่วนรวม ประโยชน์ส่วนใหญ่ ประโยชน์สาธารณะต้องมาก่อน การกำหนดแนวทางปฏิบัติเช่นนี้ จึงเกิดความสง่างาม น่าเคารพเชื่อถือทั้งต่อตัวบุคคลและสถาบันมากยิ่งขึ้น