ยุทธการ ธรรมกาย ภายใต้ “คำสั่ง มาตรา 44” ในมือ “ประยุทธ์”

หากถือตาม “เป้าหมาย” ที่ปฏิบัติการรุกเข้าจับตัว พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) ครั้งที่ 3 กำหนดไว้

เช้านี้ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ทุกอย่างจะจบ

ปิดเกม “วัดพระธรรมกาย”

ต้องยอมรับว่า “ตำรวจ” และ “ดีเอสไอ”

Advertisement

กระทำการครั้งนี้ด้วยความจำเป็น เพราะ 2 ครั้งเมื่อเดือนมิถุนายน และเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ที่ล้มเหลว

มิอาจปล่อยให้ “ผ่านเลย” ไปได้อย่างเด็ดขาด

ความจำเป็นในที่นี้มิใช่เพราะว่า พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) และวัดพระธรรมกาย มีคดีเกือบ 300 คดี

Advertisement

ตรงกันข้าม ยังมี “หมายจับ”

ขณะเดียวกัน หมายจับอันได้มาตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ยังนำไปสู่ “หมายค้น” มาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

เท่ากับเป็นการท้าทายต่อ “กฎหมาย”

เหมือนกับจะเป็นการท้าทายและแข็งข้อต่อ “ดีเอสไอ” เหมือนกับจะเป็นการท้าทายและแข็งข้อต่อ “ตำรวจ”

แต่ความจริงเป็นการท้าทายต่อ “รัฐบาล”

ก็เหมือนกับที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ประเมินเอาไว้ตั้งแต่มีคำประกาศ “เส้นตาย” ในปฏิบัติการเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ว่า

หากทำไม่ได้จะเกิด “ความเสียหาย”

เสียหายเพราะว่า “ดีเอสไอ” หน้าแตก และเสียหายซ้ำเข้าไปอีกเพราะว่า “ตำรวจ” หน้าแตก แหลกเป็นริ้วๆ

ทั้งๆ ที่ทุ่มกำลังพลเข้าไปไม่ต่ำกว่า 15 กองร้อย

จึงไม่แปลกที่ภายหลังความล้มเหลวจากปฏิบัติการครั้งที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม 2559 จึงตามมาด้วยการปล่อยข่าวลือในเรื่อง พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) ว่าไม่ได้อยู่ที่ศาลาดาวดึงส์ ภายในวัดพระธรรมกาย

หากแต่ “หลบหนี” ออก “นอกประเทศ”

เช่นเดียวกับข่าวลือที่ปล่อยออกมาว่า นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายไปนั่งกินอาหารญี่ปุ่นในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เป้าหมาย 1 เพื่อให้ “หนี” จริงๆ

เป้าหมาย 1 เพื่อนำไปสู่ “ความชอบธรรม” ในการเข้าจับกุม “ครั้งที่ 3”

หากมองอย่างเปรียบเทียบก็จะประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรมว่า ปฏิบัติการเข้าจับกุมในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ทวีความเข้มข้น

เด่นชัดว่า “การทหาร” นำหน้า

ไม่เพียงแต่อาศัยกำลังจาก กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กองบัญชาการตำรวจนครบาล

หากยังมีกำลัง “ทหาร”

ความจริง สามารถใช้กำลังพลจากกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานซึ่งอยู่ในพื้นที่ก็ได้ แต่ตามข่าวที่เล็ดลอดออกมา ปรากฏว่ายังมีกองกำลังทหารจาก 1 กองพลทหารราบที่ 2 มหาดเล็กรักษาพระองค์และ 1 กองพลทหารราบที่ 9

ไม่มีการประสานกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่ออาศัยมือไม้จากมหาเถรสมาคม (มส.)

เป็นเรื่องของ “ตำรวจ” เป็นเรื่องของ “ทหาร” และ “ดีเอสไอ”

ขณะเดียวกัน ที่เป็น “ไม้เด็ด” อย่างแท้จริง คือการลงนามในคำสั่งตามมาตรา 44 โดยหัวหน้า คสช. เพื่อทำให้พื้นที่วัด

พระธรรมกายเป็น “พื้นที่ควบคุมพิเศษ”

เหมือนที่เคย “ปฏิบัติ” ในสถานการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553

สะท้อนให้เห็นว่า เรื่องของ “วัดพระธรรมกาย” มิได้จำกัดอยู่เพียง “ดีเอสไอ” หรือ “ตำรวจ” หากตกอยู่ในมือของ “รัฐบาล” และของ “คสช.”

ต้องปิดเกมให้ได้ภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์

“เดิมพัน” ครั้งนี้จึงมิได้เป็นเดิมพันของหน่วยย่อยอย่าง “ตำรวจ” หรือ “ดีเอสไอ” อย่างเมื่อปี 2559 อีกแล้ว

เป็นเดิมพันซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงมากำกับเอง เป็นเดิมพันซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลงมากำกับเอง

เป้าหมายคือ “ยุติ” เป้าหมายคือ “จบ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image