อาศรมมิวสิก : จากอมตะสยามสู่ไทยใหม่

ขลุ่ยไทยปรับเสียงเท่ากับเสียงสากล โดย ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ

อาศรมมิวสิก : จากอมตะสยามสู่ไทยใหม่

ความพยายามศึกษาเพลงไทยโดยอาศัยการวิจัยแบบงานวิชาการซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก เพราะเมื่อพูดถึงเสียงเพลงและดนตรีแล้ว ก็ต้องศึกษาเรื่องเสียงโดยอาศัยการแสดงดนตรี แต่นักวิชาการในสังคมไทยจะมองเห็นว่าเป็น “ความบันเทิง” ไม่ได้มองว่าดนตรีเป็นงานวิชาการ ก็ต้องใช้ความพยายามที่จะบอกว่า “งานวิจัยดนตรีนั้นสามารถฟังและสัมผัสถึงความไพเราะของเสียงได้” ดนตรีไม่ใช่เรื่องกระดาษหรือเรื่องน้ำลาย

สามารถดูข้อมูลรายละเอียดได้ทั้งภาพและเสียง จากการสแกนคิวอาร์โค้ดวัฒนธรรมดนตรีด้านซ้ายมือ

ความบันเทิงเรื่องดนตรีในสายตานักวิชาการก็คือ ดนตรีเป็นความบันเทิงที่ต่ำกว่าสะดือ การจะพัฒนาให้ความบันเทิงของดนตรีสูงกว่าสะดือเป็นเรื่องที่ยาก แต่งานวิจัยเรื่องวัฒนธรรมดนตรีที่ผ่านมา ได้ขยับสูงกว่าสะดือมากแล้ว อย่างน้อยก็มีพื้นที่เพื่อแสดงดนตรีให้ชาวบ้านได้ฟังในชุมชนและในท้องถิ่นห่างไกลเมือง

เมื่อมีโอกาสจึงได้เริ่มวิจัยวัฒนธรรมดนตรีไทยเดิม ที่เรียกว่า “เพลงไทยเดิมหรือไทยโบราณ” ซึ่งเพลงไทยเดิมประกอบด้วยเพลงที่มีสำเนียงต่างๆ หลากหลาย อาทิ เพลงลาว เพลงเขมร เพลงขอม เพลงแขก เพลงมลายู เพลงพม่า เพลงญวน เพลงมอญ เพลงข่า เพลงเงี้ยว เพลงม้ง เพลงอาหม เพลงชวา เพลงชาวเล เพลงจีน เพลงฝรั่ง เป็นต้น ถึงวันนี้คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักเพลงไทยเดิมแล้ว พูดให้ตรงว่าเพลงไทยเดิมได้สูญหายไปจากสังคมไทยแล้ว ไม่มีใครแยแสอีกต่อไป วิชาเอกดนตรีไทยในสถาบันอุดมศึกษาไทยก็ไม่มีคนสมัครเรียน มีแต่ครูสอนดนตรีไทย แต่ไม่มีนักเรียนสมัครเข้าเรียนเนื่องจากไม่มีอาชีพ สถาบันการศึกษาไม่ได้สืบทอดเพลงไทยเดิม ไม่ได้สืบทอดเครื่องดนตรีไทยเดิม ซึ่งก็กลายเป็นของเก่าที่ไร้ราคา “ชั่งกิโลขาย” ตั้งกองไว้ในห้องดนตรีไทย

อมตะสยาม รวบรวมเพลงโบราณมาบรรเลงใหม่

ปี พ.ศ.2564 มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ศึกษาเพลงไทยในพื้นที่ท้องถิ่นต่างๆ ได้รวบรวมเพลงที่สุดยอดเอาไว้โดยใช้ชื่อว่า “อมตะสยาม” เลือกบทเพลงไทยที่ยังอยู่ในบริบทของสังคม นำมาแสดงและบันทึกเสียงใหม่

ADVERTISMENT

ในปี พ.ศ.2565 ได้รับทุนเพื่อค้นคว้าศึกษาต่อยอดงานวิจัยจากเพลงอมตะสยาม เป็นการศึกษาวิจัยเรื่อง “เพลงไทยทางเปลี่ยน” เพื่อค้นหาความคลี่คลายของเพลงไทยว่าจะเป็นอย่างไร เปลี่ยนไปอย่างไรในโลกอนาคต โดยศึกษาพัฒนาการของเพลงไทยที่ปรากฏอยู่ในสังคม เพลงไทยที่อยู่กับนักดนตรีไทย และเพลงไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ในสังคมไทย พบว่าความรู้เรื่องดนตรีไทยเก่าๆ ดนตรีไทยโบราณ ดนตรีไทยดั้งเดิมของครูดนตรีไทย ซึ่งครูดนตรีไทยรักและหวงแหนนั้น มาถึงวันนี้ ความรู้ดนตรีไทยที่ครูหวงแหนตายตามครูไปหมดแล้ว ที่สำคัญและรู้สึกใจหายก็คือ ความรู้เรื่องดนตรีไทยเป็นความรู้ที่คนรุ่นใหม่ไม่สนใจอีกต่อไป

เสียงใหม่ในบริบทไทยใหม่

ปี พ.ศ.2566 มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ได้รับทุนวิจัยเพื่อศึกษาและต่อยอด จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศึกษาต่อยอดเพลงไทยเดิมจากทางเปลี่ยน ไปมีลักษณะเป็น “เสียงใหม่” ศึกษาวิจัยเสียงของดนตรีไทยที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ผลิตเสียงโดยนักดนตรีไทยที่มีฝีมือและเป็นที่ยอมรับของมิตรรักแฟนเพลงดนตรีไทย

นักดนตรีรุ่นใหม่พยายามค้นหาอดีต “ของดีที่มีอยู่” นำเสียงดนตรีมาเสนอในรูปแบบใหม่ รวมทั้งการแสดงในรูปแบบที่เปลี่ยนไป อาทิ การยืนตีระนาดตี 2-3 ราง ยืนสีซอ การเป่าขลุ่ยไว้อาลัยในงานศพ การแสดงดนตรีไทยแล้วเต้นเล่นแบบตะวันตก ฝรั่งเล่นดนตรีไทย การพัฒนานำเครื่องดนตรีไทยเล่นร่วมกับเครื่องสากล เล่นอย่างสากลและเล่นอย่างไทย เป็นต้น ในความระโหยโรยรินของดนตรีไทย ยังมีวิญญาณดนตรีไทยเดิมในรูปแบบต่างๆ ให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ เหลือร่องรอยของกลิ่นไทย ความเป็นไทย และมีจิตวิญญาณไทยอยู่

เพลงไทยทางเปลี่ยน

ในปี พ.ศ.2567 มูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ได้นำเสนอวิธีคิดใหม่โดยการจัดประลองวงเยาวชนดนตรีอาศัยคนรุ่นใหม่ ประลองกันในเนื้อหาของเพลงไทย ใช้เครื่องดนตรีในท้องถิ่นไทย คิดสร้างสรรค์งานเพลงโดยคนรุ่นใหม่ ใช้รางวัลเป็นเครื่องมือและเป้าหมายเสนอให้แก่คนรุ่นใหม่ รางวัลกลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจ กระทั่ง “อดใจไว้ไม่ไหว” การประลองครั้งแรกก็ประสบความสำเร็จสูง เพราะมีนักดนตรีคนรุ่นใหม่เข้าร่วม 24 วง นำเพลงไทยโบราณมาพัฒนาโดยอาศัยฝีมือและคุณภาพแนวใหม่ ที่มีเสน่ห์มากกว่านั้นคือ วงเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าประลองในรอบสุดท้ายได้ร่วมแสดงกับวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา ซึ่งเป็นการนำเสนอในรูปใหม่

สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่จากการต่อยอดงานวิจัยพบว่า เพลงไทยที่ยึดอยู่ในขนบของความเป็นไทยได้เลือนรางจางหายไปแล้ว สิ่งที่ค้นพบใหม่กลายเป็น “ดนตรีประจำชาติ” ซึ่งหมายรวมถึงดนตรีทุกชนิดเป็นวัฒนธรรมร่วม ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกสำเนียง ทุกประเภทของดนตรีที่ได้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินนี้ เรียกรวมๆ ใหม่ว่า “ดนตรีประจำชาติ” ประกอบด้วยดนตรีทุกชนิดที่มีฐานะในทางสังคมที่เท่าเทียมและเสมอภาคกัน ไม่มีใครใหญ่กว่ากัน ไม่มีใครข่มใครได้ และไม่ได้ใช้ชื่อเพื่อเหยียดหยามกันอีกต่อไป โดยก้าวข้ามความแตกต่าง ก้าวข้ามความเหมือน ก้าวข้ามความเป็นไทย ก้าวข้ามความไม่ไทย ก้าวข้ามเงื่อนไขเดิม และก้าวข้ามความหลากหลายในเวลาเดียวกัน

การค้นคว้าดนตรีประจำชาติ เป้าหมายต่อไปเป็นการค้นคว้าหาเสียงใหม่ เพื่อสร้างความเป็นไทยใหม่ อาศัยรากเหง้าดั้งเดิมที่เป็นภูมิปัญญาในการสร้างงานดนตรีใหม่ เอาปัญญามาจากอมตะสยาม นำมาพัฒนาสร้างสรรค์ใหม่ให้เป็นภูมิปัญญาของไทยใหม่ นำเสนอในงาน อว.แฟร์ ในวันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่ 09.00-13.40 น.

โดยมีผลงานเพลงของวงเยาวชนทั้ง 6 วงที่เข้ารอบสุดท้าย ได้เสนอผลงานของแต่ละวง วงละ 2 เพลง เริ่มแสดงเวลา 09.00 น. เริ่มด้วยวงบ้านแขก จากบ้านสมเด็จเจ้าพระยา วงศิลป์บันลือ จากเมืองเลย วงอุดรถิ่นอีสาน จากอุดรธานี วงชิกเกนวินด์ควินเต็ต จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และวงพิชชโลห์ จากบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชั่วโมงที่สอง เป็นการนำเสนอเสียงไทยใหม่โดยวงเครื่องสายสากล “เอื้อมอารีย์แชมเบอร์ออร์เคสตรา” ต่อมานำเสนอเสียงใหม่โดยวงเยาวชนทั้ง 6 วง แสดงร่วมกับวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตรา เพลงที่ได้ร่วมประลอง และในชั่วโมงสุดท้ายเป็นผลงาน “ไทยใหม่” โดยวงไทยซิมโฟนีออร์เคสตราแสดงร่วมกับวงปล่อยแก่ จากชมรมสายใย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

การวิจัยยังพบว่า มีความพยายามในการพัฒนาเครื่องดนตรีไทยใหม่ ตัวอย่าง การปรับเสียงขลุ่ยไทยให้เข้ากับระบบเสียงสากล นำโดยศิลปินแห่งชาติ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ปรากฏในเพลงเมดอินไทยแลนด์ (คาราบาว) เมื่อ พ.ศ.2527 ทำให้ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีไทยที่ได้รับความนิยมเล่นแพร่หลายและฝึกเป่าขลุ่ยกันอย่างโหยหา มีเพลงไทยสมัยนิยมจำนวนมากใช้ขลุ่ยเป่าร่วมกับวงดนตรีสมัยนิยม

การพัฒนารูปแบบการจัดวงดนตรี การนำเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาสร้างงานเพลงสมัยใหม่ ได้เกิดเพลงโฟล์กซองคำเมือง โดยเฉพาะผลงานเพลงของจรัล มโนเพ็ชร ซึ่งสร้างผลงานไว้ระหว่างปี พ.ศ.2519-2544 ทำให้เพลงท้องถิ่นเฟื่องฟู และมีผลงานเพลงท้องถิ่นอื่นๆ ในรูปแบบเดียวกันเกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วไทย

“ซอโอ่ง” ผลงานของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุดารัตน์ ชาญเลขา

งานวิจัยทดลองทำเครื่องดนตรีใหม่ “ซอโอ่ง” ผลงานของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุดารัตน์ ชาญเลขา ซึ่งได้นำมาแสดงในงานประลองเยาวชนดนตรีที่วัดกุฎีดาว เมืองอโยธยา และแสดงที่พาสาน เมืองปากน้ำโพ เป็นครั้งแรก พ.ศ.2567 นำเสนอซอโอ่งแสดงโดยวงบ้านแขก เล่นเพลงเชิดแขก ทำให้เสียงดนตรีไทยได้ขยายช่วงเสียงต่ำลงได้อีก เล่นเสียงได้มากขึ้น ซอโอ่งสามารถดีดเป็นเสียงได้ สีเป็นซอได้ และยังสามารถตีเป็นกลองได้ ทำให้เกิด “เป็นสีเสียงใหม่” เกิดขึ้นกับซอโอ่ง ทั้งนี้เป็นความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องดนตรีให้ก้าวไปข้างหน้า โดยการสร้างเสียงเพิ่มจากที่มีอยู่เดิม บนรากฐานของเสียงไทย

จากเพลงอมตะสยามสู่เพลงไทยทางเปลี่ยน จากเพลงไทยเดิมไปสู่เพลงประจำชาติ นำเพลงไทยที่มาจากอดีตไปสู่เสียงใหม่ จากเพลงเสียงใหม่ไปสู่เพลงไทยใหม่ เป็นความพยายามจะเสนอเพลงไทยสู่สังคมยุคใหม่ เพื่อค้นหาวิธีที่จะรักษามรดกทางวัฒนธรรมดนตรีของชาติเอาไว้ให้สืบทอดต่อไป

จากเสียงใหม่โดยเพลงไทยใหม่ เป็นนวัตกรรมเรื่องเสียงดนตรี หากสร้างงานเพลงไทยใหม่แล้วนำมาขับร้องโดยดาราระดับโลก ซึ่งจะช่วยพยุงเพลงไทยทางเปลี่ยนได้อย่างมีมวลชน เพราะถึงเวลาที่เสียงไทยใหม่สามารถจะช่วยรัฐในการสร้างภาพใหม่ให้อาชีพดนตรีไทย “เสียงดังตังค์มา” ซึ่งโลกดนตรีไทยก็จะเปลี่ยนไป

สุกรี เจริญสุข

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image