ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
ไม่รู้ว่าใครได้นับกันไว้หรือไม่ว่ากี่ครั้งแล้วที่วรรคทองจากเรื่อง “ปีศาจ” แห่งกาลเวลา อมตะนิยาย ที่ “เสนีย์ เสาวพงศ์” เขียนไว้เมื่อเจ็ดสิบปีก่อน ได้ถูกนำมากล่าวอ้างเมื่อเกิดความหักเหทางการเมืองในปัจจุบัน
ฉากช่วงใกล้จบเรื่องในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดขึ้นด้วยเจตนา “เบิก” ตัว สาย สีมา ทนายความเนติบัณฑิตลูกหลานชาวนา ที่เป็นคนรักของ รัชนี บุตรีของท่านเจ้าคุณอดีตข้าราชบริพารขึ้นมา “ประจาน” ต่อที่ประชุมของบรรดาผู้มีชาติตระกูลสูง วรรคทองนั้นคือคำตอบของสาย สีมา ที่มีต่อที่ประชุมท่าน
ผู้ลากมากดีนั้นว่า
“ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที”… “ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนวันนี้ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้ แต่ไม่มีทางจะเป็นไปได้”… “ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป”
วรรคถ้อยสวยงามและทรงพลังนั้นบังเกิดผลสองทาง คือพลังเย้ยหยันไม่ยี่หระต่อฝ่ายที่กระทำซึ่งดูจะได้เปรียบและเหมือนจะได้ใจอยู่ว่า สิ่งที่พวกท่านทำนั้นไร้ประโยชน์สิ้นดี พร้อมกับที่ให้กำลังใจฝ่ายที่กำลังเป็นผู้ถูกกระทำให้มีความหวังและกำลังใจที่เข้มแข็งได้
ส่วนตัวยังคงมีข้อหนึ่งที่ติดใจอยู่เสมอคือ แล้วทำไมฝ่ายยืนยันว่าคนเท่ากันและประเทศนี้เป็นของราษฎรจะต้องเป็นฝ่าย “ปีศาจ” ด้วยเล่า เพราะผี ปีศาจ หรืออสูรนั้นเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายมาตั้งแต่บรรพกาลในศาสนาที่ไม่มีชื่อเรียก ไปจนถึงในเรื่องแต่งนิทาน นิยาย สื่อสร้างสรรค์ในยุคใหม่ทั้งการ์ตูน แอนิเมชั่น และเกม
ใคร่ครวญดูแล้วจึงได้คำตอบว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งเขามีพื้นฐานพลังอำนาจมาจากความคิดความเชื่อเชิงจารีตซึ่งมีมาแต่เดิมที่เขาเชื่อว่าแนวทางของพวกเขานั้นคือสิ่งอันถูกต้องหนึ่งเดียวที่สังคมและการเมืองของรัฐประเทศควรดำเนินเดินไปเช่นนั้นอย่างเป็นแนวทางศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต้องมีเหตุผลแต่ก็ห้ามก้าวล่วงเพราะความ “ศักดิ์สิทธิ์” คือคำตอบในตัวเองแล้ว ดังนั้นผู้ใดที่คิดต่างเห็นไม่ตรงมีข้อแย้งขัดกับแนวทางอัน “ศักดิ์สิทธิ์” ก็ต้องเป็น “ปีศาจ” ที่เป็นความชั่วร้ายอยู่ฝั่งตรงข้ามในสายตาของพวกเขา
เรื่องนี้ถ้าลองเอาแนวคิดแบบอนุรักษนิยมหรือจารีตนิยมใดๆ ในโลกมาลองถอดรื้อไล่สายดูแล้ว ก็จะพบว่าในที่สุดมันก็จะมีจุดที่โยงกลับไปหาความเชื่อ หรือศาสนาได้แทบทั้งหมด ตั้งแต่แนวคิดทางการเมืองที่ว่าบ้านเมืองควรปกครองด้วยผู้รู้ผู้ดีที่ถึงพร้อมกลุ่มน้อยมิใช่เพียงประชาชนทั่วไปใครก็ได้ แนวคิดที่ปฏิเสธความเท่าเทียมกันทั้งในแง่ของสถานะ ชาติพันธุ์และเพศ ก็มาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาต่างกันเพราะต้องมีบทบาทหน้าที่ต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้กำหนดมาโดยกำเนิดอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ไปจนถึงความคิดเรื่องการสมรสคือเรื่องชายหญิง หรือเพศนั้นมีเพียงสองไม่อาจยอมรับอย่างอื่นได้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเชื่อมโยงกลับไปสู่ความเชื่อทางศาสนาที่เป็นจุดร่วมกันของแทบทุกศาสนาด้วย
แต่อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ผี ปีศาจ หรืออสูรนั้น เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายตั้งแต่ปางบรรพซึ่งแนวคิดนี้ก็ส่งต่อมาจนถึงสร้างสรรค์ในยุคใหม่ทั้งการ์ตูน แอนิเมชั่น และเกมด้วย โดยเป็น “ตัวร้าย” ที่ฝ่ายตัวเอกที่เป็น “ฝ่ายดี” จะต้องจัดการ
ในวิดีโอเกมที่ตัวเอกจะต้องต่อสู้กับศัตรูที่ชั่วร้ายเช่นนั้น จอมมาร อสูรหรือ “ปีศาจ” ที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่พวกที่มีพลังโจมตีหนักหน่วงรุนแรงที่สุด เพราะเรื่องนั้น ถ้าผู้เล่นสามารถพัฒนาตัวละครจนมีพลังชีวิต พลังป้องกันสูงขึ้น การโจมตีนั้นก็ลดความรุนแรงลงได้จนไม่มีปัญหา แม้แต่ว่าศัตรูนั้นโจมตีครั้งเดียวฝ่ายผู้เล่นตายได้เลย ผู้เล่นก็ยังใช้ทักษะการเล่นในการหลบหลีกหรือสวนกลับที่แม่นยำจนเอาชนะได้อยู่ดี
พวกศัตรูที่มีพลังชีวิต หรือพลังป้องกันสูงมากๆ แบบที่โจมตีรุนแรงแม่นยำอย่างไร หลอดเลือด หรือค่าพลังชีวิตของมันก็ลดลงทีละนิดแบบชวนท้อใจก็ไม่ใช่อุปสรรคระดับชวนหมดหวัง เพราะเรารู้อยู่ดีว่าตราบใดที่เรายังโจมตีและพลังมันยังลดลงเรื่อยๆ เราก็มีวิธีเล่นจนเอาชนะได้แม้จะช้านานหรือยุ่งยากไปหน่อยก็ตาม
หากศัตรู “ปีศาจ” ที่น่ากลัวในระดับสิ้นหวังอย่างแท้จริง คือพวกที่มีพลังในการฟื้นฟู หรือคืนชีพสูงมากๆ โดยเราอาจจะโจมตี “ปีศาจ” ประเภทนี้จนพลังลดแบบที่เกือบจะเอาชนะได้แล้ว แต่อยู่ดีๆ มันก็สามารถเติมพลังชีวิตกลับมาเต็มหลอดได้ในพริบตา หรือบางตัวเมื่อฆ่าได้ยิ่งเพิ่มจำนวน หรืองอกปีกงอกขาเพิ่มหัวออกมาได้อย่างน่ากลัว พร้อมพลังชีวิตที่อาจจะมากกว่าเดิมเสียอีก
เรียกได้ว่า “ปีศาจ” หรือบอสในเกมแบบนี้แหละ ที่คนเล่นเกมส่วนใหญ่เจอแล้วเลิกเล่นปาจอยเกมทิ้งไปนอนก่ายหน้าผากด้วยความสิ้นหวัง
นึกถึงเรื่อง “ปีศาจ” ในเกมประเภทนี้ขึ้นมาเมื่อได้เห็นข่าวการเปิดตัวพรรคการเมืองขึ้นมาแทนพรรคที่เพิ่งถูกยุบไปเมื่อวันก่อน หากพวกเขาก็ตั้งพรรคใหม่กันได้อย่างรวดเร็วโดยสมาชิกซึ่งเป็น ส.ส. ของพรรคเท่าที่ไม่โดนตัดสิทธิต่างประกาศว่าจะย้ายมาสังกัดพรรคใหม่แบบครบถ้วนทุกคนไม่มีแตกแถว และเมื่อพรรคประกาศรับสมัครสมาชิกพรรคและขอรับเงินบริจาคจากผู้คนทั่วไป ก็ปรากฏว่ามีผู้ไปสมัครกันเป็นจำนวนมากในเวลาอันสั้น กับยอดเงินบริจาคที่ทะลุ 10 ล้านบาทในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงนับแต่การประกาศระดมทุน และเพิ่มเป็น 20 ล้านบาทในอีกไม่กี่ชั่วโมง และตอนนี้ก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนไปข้างหน้า
มันไม่ใช่จำนวนเงินมากมายอะไรนักถ้าเอาไปเทียบกับพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจาก “ทุน” ที่มีวิธีการทางกฎหมายรอบคอบรัดกุมจนสนับสนุนพรรคการเมืองของพวกเขาได้เป็นสิบเป็นร้อยล้าน แต่ความน่ากลัวของเรื่องนี้มันคือสิ่งที่เรียกว่า Microtransaction หรือการโอนเงินของผู้คนจำนวนไม่มาก อาจจะหลักสิบหลักร้อย หรืออย่างมากก็หมื่นกว่าบาท แต่เป็นการโอนมาจากผู้คนจำนวนมหาศาลทั่วสารทิศ
เมื่อวันเสาร์ที่เป็นวันเปิดรับสมัครสมาชิกพรรคใหม่และรับเงินบริจาคบนพื้นที่จริงนอกโลกออนไลน์ ปรากฏว่าผู้คนก็ทยอยไปสมัครสมาชิกพรรคและบริจาคเงิน มิตรสหายหลายคนไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมาก่อนเลยก็ไปสมัครเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพ ทั้งที่ก็รู้ว่าคำ “ตลอดชีพ” นั้น หมายถึง “ตลอดชีพของพรรค” ที่ไม่ยืนยาวราวแมลงอายุสั้นที่เราไม่รู้จัก ไม่ใช่ “ตลอดชีพของสมาชิก” ก็ตาม
ทั้งหมดราวเป็นการพิสูจน์ว่าที่พวกเขาตั้งชื่อพรรคกำเนิดใหม่นี้ว่า “พรรคประชาชน” นั้นเป็นชื่อที่เหมาะเจาะแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้จะกล่าวว่า “ปีศาจ” ไม่ว่าจะในเกมหรือในโลกจินตนาการที่น่ากลัวระดับสิ้นหวัง คือพวกที่มีพลังในการฟื้นฟูระดับโกง ที่ฆ่ายังไงก็ฟื้นคืนมา แถมฟื้นคืนมาแบบร้ายกาจ หรือโหดขึ้นกว่าเดิมด้วย แต่ตราบใดที่เป็นการต่อสู้ที่อาจมีแพ้มีชนะได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าปีศาจเหล่านี้จะไม่อาจถูกโค่นล้มได้ เพราะสำหรับฝ่ายที่จะกำราบ หรือจัดการกับ “ปีศาจ” แล้ว ต่อให้จะฟื้นขึ้นมากี่ครั้งแล้วเก่งขึ้นมาแค่ไหน พวกเขาก็ยังสามารถใช้วิธีเดิมในการจัดการกำราบมันได้อยู่ ซ้ำไปเรื่อยๆ ได้ ตราบใดที่ฝ่ายนั้นยังมีแรงพลัง อาวุธ หรือผู้สนับสนุนมากเพียงพอ
ส่วนฝ่าย “ปีศาจ” เอง แม้ว่าจะมีพลังฟื้นฟูหรือการพัฒนาตัวเองที่น่ากลัว อย่างไรก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะมีจุดที่ไปต่อไม่ได้ เป็นจุดที่พลังในการฟื้นฟูที่มีอยู่เริ่มหมดไป การฟื้นฟูอาจจะทำได้ช้าหรือทำไม่ได้เลย รวมถึงหากผ่านจุดสุดทางของวิวัฒนาการแล้ว ไม่สามารถขยายตัวงอกปีกงอกเขาออกไปได้ตัวใหญ่ หรือน่ากลัวกว่านั้นอีกแล้ว
การต่อสู้ระหว่าง “ปีศาจ” กับฝ่ายที่หวังว่าจะกำราบ จึงขึ้นกับว่า ฝ่าย “ปีศาจ” นั้นจะถึงจุดสิ้นสุดแห่งวิวัฒนาการหรือจุดที่พลังฟื้นฟูเริ่มถดถอยลงก่อน หรือฝ่ายที่มุ่งกำราบปีศาจนั้นเริ่มหมดพลัง ขาดอาวุธ หรือผู้สนับสนุนล้มหายไปโดยไม่เหลือ การตัดสินของศึกศักดิ์สิทธิ์นี้คือฝ่ายใดจะไปถึงจุดที่ “ไม่ไหว” ก่อนกันที่ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ในตอนนี้
สำหรับ “วรรคทอง” อีกวรรค ที่มักจะมีผู้ยกขึ้นมาในสถานการณ์แบบนี้ คือ คำพูดของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ท่านได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2557 ที่อาคารมติชนอคาเดมี ในงานเสวนาหัวข้อ “นิธิ 20 ปีให้หลัง” ว่า “…นาฬิกามันมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ คุณสามารถหมุนเข็มนาฬิกากลับไปสู่อดีตเมื่อไหร่ก็ได้ที่คุณรู้สึกว่าคุณต้องการ ถ้าเป็นนาฬิกาที่มีวันที่ด้วย แม้แต่วันที่มันก็จะย้อนกลับให้เราได้ แต่ข้อเสียของนาฬิกามันมีอยู่อย่างหนึ่งก็คือถึงเราหมุนกลับไปแค่ไหนก็ตามแต่ มันก็จะเดินก้าวหน้าต่อไปอีกไม่ยอมหยุด เดินมาถึงจุดที่เราไม่อยากให้มันมาถึงจนได้สักวันหนึ่ง…”
ด้วยความเคารพต่อท่านอาจารย์นิธิ และด้วยความเป็นห่วงเป็นใยต่อมิตรสหายที่อาศัยวรรคทองนี้ปลุกความหวังอยู่นิดหนึ่งว่า จริงอยู่ที่ไม่ว่าเราจะหมุนนาฬิกากลับไปกี่รอบ เวลาก็เดินหน้าต่อไปจนถึงจุดที่ควรจะต้องไปถึงได้อยู่ดี
แต่อย่าลืมความเป็นจริงที่เจ็บปวดว่าผู้ที่มีนาฬิกาอยู่ในมือนั้น เขาก็สามารถที่จะดึงเม็ดมะยมเพื่อหมุนเวลาให้ย้อนกลับไปสู่จุดที่เขาต้องการได้อยู่ดี ตราบใดที่ยังมีแรงและยังเบื่อไปเสียก่อน ไปจนถึงถ้าเขาเกิดจะเบื่อหรือเริ่มเหนื่อย อาจจะทุบนาฬิกาทิ้งไปเสียไม่ต้องบอกเวลาอีกเลยก็ได้
แม้ว่า “นาฬิกา” จะเป็นคนละเรื่องกับ “เวลา” นั่นคือต่อให้ไม่มีนาฬิกาบอก เวลานั้นก็ยังคงเดินไปข้างหน้าอยู่ดี แต่ “เวลาที่เดินไป” นั้นก็เป็นคนละเรื่องกับ “ความรู้สึกว่าเวลายังเดินอยู่”
มีบทเรียนเรื่องเล่าน่าสนใจจากมิตรสหายผู้ไปขัดเกลาจิตใจด้วยการวิถีปฏิบัติที่กึ่งๆ การเจริญสติกับการทำทุกขกิริยาสถานเบา โดยการใช้ชีวิตที่คล้ายการถูกกักตัวไว้ในที่มืดโดยไม่มีแสงใดๆ เลย รวมเจ็ดวัน มีเพียงน้ำและอาหารมาส่งตามเวลาเท่านั้น
ชั่วเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ มิตรสหายผู้นั้นเล่าว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ไม่ได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของเวลาใดๆ เลย สิ่งเดียวที่รู้ว่าเวลาน่าจะเคลื่อนผ่าน คือเมื่อท้องหิวอีกครั้งที่ทำให้พอเดาได้ว่าน่าจะผ่านไปเกือบวันเท่านั้นเอง
กล้า สมุทวณิช
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : แม่ค้าทองออนไลน์ ภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางความรู้เท่าทัน (ซึ่งทำให้เราต้องขอบคุณที่ประเทศนี้ยังมี‘พี่หน่วง’)
- แท็งก์ความคิด : เล็กแต่สำคัญ
- คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ความทะเยอทะยาน ความหวัง ของ ‘ตาคลี เจเนซิส’
- คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : การ ‘ตื่นรู้’ และ ‘ความหลากหลาย’ ที่ล้มเหลว