ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
---|
แม้หานซิ่นจะได้รับยกย่องว่าเป็น “นักการทหาร” กำหนด “กลยุทธ์” แหลมคม กำราบกองทัพฌ้อล่าถอยไปหลายครั้ง
แต่ก็ยังมิอาจจัดการกับทัพฌ้อปาอ๋องให้ราบคาบอย่างสิ้นเชิง
หากได้ศึกษาจากหนังสือ “มหาอาณาจักรฮั่น” ของ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ก็จะเข้าใจในอุปสรรคและเงื่อนไขที่แวดล้อม
ทุกอย่างต้องเริ่มจาก “มูลฐาน”
ฌ้อปาอ๋องเกิดในตระกูล “ขุนพล” แคว้นฌ้อ เป็นทายาทรุ่นหลานของเซี่ยงเทียน มีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่เด็ก
เซี่ยงเหลียงผู้เป็นอาผลักดันให้อ่าน “ตำรา” ก็ไม่สนใจ
อ้างว่า รู้หนังสืออย่างมากก็แค่เขียนชื่อตัวเองเป็นเท่านั้น ครั้นแนะให้ศึกษาวรยุทธ์ก็เกี่ยงว่าฝึกดาบอย่างมากก็แค่สังหารศัตรู 2-3 คนในสนามรบ
แล้วอะไรคือ “เป้าหมาย” ของหนุ่มน้อย “เซี่ยงอวี่”
คําตอบของเซี่ยงอวี่ต่อเซี่ยงเหลียงซึ่งเป็นอา คือ “ข้าต้องการศึกษาวิชาที่สามารถเอาชนะคนเป็นหมื่นเป็นแสนได้”
เซี่ยงเหลียงจึงสอนวิชา “พิชัยยุทธ์” พบว่าหลานมีพรสวรรค์ด้านรบทัพจับศึก
ยุทธนิยายเรื่อง “ไซฮั่น” สำนวนแปลฉบับวังหลังบรรยายความถึงการศึกครั้งหนึ่งว่า นายทหารเอกฮั่นอ๋องประมาณ 60 เศษขับม้าเข้ากลุ้มรุมรบ
พระเจ้าฌ้อปาอ๋องมีกำลังและฝีมือเข้มแข็งนัก
“แต่ผู้เดียวรบป้องกันอยู่ในกลางศึก ดูองอาจดังมังกรเล่นน้ำอยู่กลางทะเล และเสือทำสีหนาทคะนองอยู่ในป่า
มิมีผู้ใดเข้าใกล้ได้
รบกันตั้งแต่เช้าจนเย็น ทหารทั้งปวงอ่อนกำลังลงเห็นจะทานกำลังพระเจ้าฌ้อปาอ๋องมิได้ ก็ขับม้าพาทหารถอยออกไปสิ้น”
นี่ย่อมเป็นการยุทธ์ ณ เมืองเผิงเฉิง
พระเจ้าฌ้อปาอ๋องก็ชักม้ากลับเข้ามาหาทหารทั้งปวงแล้วถาม “ท่านดูเรารบกับทหารฮั่นอ๋องตั้งแต่เช้าจนเย็น เห็นกำลังเราหย่อนบ้างหรือไม่”
ขุนนาง นายทหารทั้งปวงจึงทูล
“ไค้อ๋องมีฝีมือแลกำลังดังเทพยดาทีเดียว แต่บรรดามนุษย์ในแผ่นดินถึงผู้ใดที่ว่ามีกำลังมาแต่ก่อนก็หาเสมอพระองค์ได้ไม่
แต่เวลานี้ค่ำแล้วขอให้หยุดพักลงเสียบ้าง”
พระเจ้าฌ้อปาอ๋องเห็นชอบด้วย จึงให้ตั้งค่ายทะแกล้วทหารอยู่ จากนั้น จึงให้หานางหงอกี๋มาแล้วถาม “เวลานี้ทหารฮั่นอ๋องล้อมอยู่โดยรอบ
ข้ารบพุ่งไป เจ้าจะมิตกใจแล้วหรือ”
นี้ย่อมเป็นด้านที่อ่อนหวาน นี่ย่อมเป็นด้านที่อบอุ่น นุ่มนวล ของ “ขุนพล” กรำศึกเมื่ออยู่เบื้องหน้านางซึ่งเป็นคนรัก
เป็นสีสัน แต่งแต้ม ท้าทายต่อความดิบกร้านในการสู้รบ
นางหงอกี๋ทูลตอบ “ข้าพเจ้ามิได้มีความสะดุ้งตกใจเลยด้วยหมายพระบารมีของพระองค์ปกป้องอยู่
เวลาวันนี้ ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าพระองค์รบกับทหารเอกฮั่นอ๋อง 60 คนเศษ
ตั้งแต่เช้าจนเย็น พระองค์จะมิเหนื่อยหนักแล้วหรือ เชิญพักเสียให้สบายกายสบายใจเถิด”
พระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ
“เมื่อครั้งข้ารบกับจังหาน ข้ามิได้กินอาหารเลยเป็นเวลา 2 วัน ข้าก็รบเอาชัยชนะได้ นี่รบวันเดียว นิดหนึ่งเท่านี้ยังไม่ทันเหน็ดเหนื่อยดอก”
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็สั่นศีรษะกันทุกคน
เด่นชัดอย่างยิ่งว่า เซี่ยงอวี่อันเติบใหญ่มาอยู่ในสถานะแห่งพระเจ้าฌ้อปาอ๋องมิได้มีแต่เพียงพละกำลังเหนือคนโดยทั่วไปเท่านั้น
หากแต่ยังชำนาญ “การยุทธ์” อย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
ณ เบื้องหน้าความเป็นจริงทางการทหารเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮั่นอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นจางเหลียง ไม่ว่าจะเป็นหานซิ่น จึงต้องเดินแต่ละก้าวอย่างมีการวางแผน
ทุกอย่างดำเนินอยู่บนฐานแห่ง การศึกมิหน่ายเล่ห์
กล่าวสำหรับหานซิ่นเมื่อเห็นทหารทั้งปวงสู้พระเจ้าฌ้อปาอ๋องมิได้ก็มีความวิตก จึงให้หาหลีโจเฉียเข้าไปปรึกษา
เริ่มต้นจากข้อเสนอ
“เวลาพรุ่งนี้เราอย่าให้ทหารออกรบกับพระเจ้าฌ้อปาอ๋องเลย พระเจ้าฌ้อปาอ๋องก็มีกำลังและฝีมือเข้มแข็งนัก
เห็นทหารเราจะสู้ไม่ได้ ก็จะตายแลเปลืองเสียเปล่า”
เหมือนกับจะเป็นการปรึกษา แต่การปรึกษาครั้งนี้ก็มิได้ว่างเปล่า เลื่อนลอย หากแต่มีกระบวนการตระเตรียม
การติดตาม “บรรยากาศ” ในการ “ปรึกษา” จึงสำคัญ
ด้านหนึ่ง หานซิ่นเสนอ “ให้แต่ละทัพรักษาหน้าด่านล้อมอยู่ให้มั่นคง เอารถที่ทำไว้ล้อมเข้าด้วยอย่าให้แหกออกไปได้ พระเจ้าฌ้อปาอ๋องก็หามีกำลังหนุนภายนอก
คอยส่งลำเลียงไม่ ถ้าขาดเสบียงอาหารลงก็เห็นจะเสียทีแก่เรา”
ขณะเดียวกัน หลีโจเฉียก็เสริม “พระเจ้าฌ้อปาอ๋องจะหมดเสบียงอาหารลงไปทหารทั้งปวงจะหนีไปสิ้น
แต่ทหารคู่ใจ 8,000 นั้นข้าพเจ้าเห็นว่าหาทิ้งพระเจ้าฌ้อปาอ๋องไม่
แม้นพระเจ้าฌ้อปาอ๋องจะแหกออกไปจริงที่ไหนทหารเราจะต้านทานไว้ได้ ถ้ามีกลอุบายคิดให้ทหารทั้งนั้นแลทหารคู่ใจแตกกระจายออก ถึงพระเจ้าฌ้อปาอ๋องจะมีกำลังทหารแลฝีมือเป็นประการใดก็เห็นหาพ้นมือเราไม่
ถ้าไม่คิดให้ทหารทั้งปวงหนีออกจากพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง
แลพระเจ้าฌ้อปาอ๋องแหกออกไปตั้งซ่องสุมผู้คนอยู่ ณ เมืองกั่งตั๋ง แล้วหวนกลับมากระทำศึกใหม่
ก็จะต้องป่วยการไปอีกประมาณปีหนึ่งสองปีกว่าจะสำเร็จ”
ข้อเสนออันเป็นบทสรุปของหลีโจเฉียต่อหานซิ่นก็คือ “จำจะคิดตัดศึกให้สิ้นในขณะนี้จึงจะได้”
ความเป็นจริงที่วางอยู่เบื้องหน้าดำรงอยู่อย่างไร
ดํารงอยู่บนพื้นฐานที่ทัพของฌ้อปาอ๋องแม้จะเข้มแข็ง น่าเกรงขาม แต่ก็มีปัญหาในเรื่องเสบียงอาหาร
นั่นก็คือ สัมพันธ์อยู่กับการส่งกำลังบำรุง
ภาวะแห่งเสบียงกรังก็เนื่องแต่สูญเสียเมืองให้แก่ฮั่นอ๋อง เมื่อสูญเสียเมืองก็สูญเสียราษฎร อันเป็นรากฐานอย่างสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ
เมื่อเศรษฐกิจไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม ย่อมมีผลสะเทือนด้านเสบียง
ขณะเดียวกัน ทางด้านของฮั่นอ๋องแม้จะดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็นการรุก เข้าไปยึดครองกุมชัยทางด้านพื้นที่
แต่ความแข็งแกร่งอันเป็นรากฐานเดิมของฌ้อก็ยังดำรงอยู่
อย่างน้อยเกียรติประวัติที่ฌ้อปาอ๋องแต่ครั้งยังเป็นเซี่ยงอวี่ซึ่งอุ้มกระถางธูปได้เหมือนหยิบส้มในลังก็ยังตัดข่มอีกฝ่ายลงได้
คำถามจึงอยู่ที่ “ข้อเสนอ” อันมาจากหลีโจเฉีย
หากทำความเข้าใจต่อกระบวนการหารือกันภายในทัพของหานซิ่นก็จะเข้าใจในภาระหน้าที่ที่เป็นมูลฐานแห่งยุทธนิยายเรื่องสำคัญ 2 เรื่องยุคต้นรัตนโกสินทร์
1 คือ สามก๊ก 1 คือ ไซ่ฮั่น
เป้าหมายหลักในการแปล 2 เรื่องมิได้อยู่ที่ความบันเทิง หากแต่อยู่ที่เป็นเครื่องมือในการสร้างบ้าน แปงเมือง
ไซ่ฮั่นคือรากฐานแห่งต้าฮั่น สามก๊กคือรากฐานแห่งการสร้างสถานะ
ยอมรับผลสะเทือนจากสถานการณ์กรุงแตก ยอมรับผลสะเทือนจากการตั้งหลักที่กรุงธนบุรี
ก่อรากฐานอาณาจักรใหม่ผ่าน “รัตนโกสินทร์”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : กระบี่ ในมือท่าน ดำรงดั่ง กระบี่ ‘เรา’ นั่นคือ ‘กระบี่ใจ’
- พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : เพลงรัก เพลงรบ เสียงปี่ สะกด ‘วิญญาณ’ รันทด ท้อสิ้นพลัง
- พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : พลิกแพลง ยืดหยุ่น กระหน่ำ กำราบ สยบ ที่ใจ ‘เสริม’ กำลังทหาร
- พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : ลักษณะ การยัน จังหวะ สำคัญ ‘ช่วงชิง’ แปรรับ ไปสู่ ‘รุก’