ที่มา | คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
เผยแพร่ |
ความฝันของผู้นำประเทศ โดยเฉพาะผู้กุมบังเหียนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอยากเห็นชีวิตคนไทยเข้าสู่ ยุค 4.0
ก่อนที่จะวางยุทธศาสตร์ ไทยแลนด์ 4.0 และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่จะควบคุมยุทธศาสตร์ไปอีก
20 ปี ทั้งการวางโครงสร้างอำนาจที่เอื้อต่อการสานต่อ และออกกฎหมายควบคุมไม่ให้การจัดการในอนาคตพาออกไปนอกเส้นทาง พวกผู้นำหารือกันว่า ผู้คนในประเทศจะต้องพัฒนาไปในทางที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างมูลค่าของผลงานมากกว่าที่จะใช้แรงงานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มีความพยายามคิดโครงการขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจดิจิทัล ที่เอาจริงด้วยการตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่ให้ชื่อว่า กระทรวงดิจิทัล มาแทน กระทรวงไอซีที ที่ยุบไป
มีโครงการ สตาร์ตอัพ ที่ทุ่มเงินงบประมาณไปมากมายเพื่อสร้างธุรกิจยุคใหม่ที่อาศัยความคิดสร้างสรรค์มาจัดการด้วยโครงข่ายเทคโนโลยี
ตามด้วยปฏิบัติการตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ที่เทเงินอีกก้อนใหญ่ลงไปในกลุ่มจังหวัด เพื่อกระจายความคิดสร้างสรรค์ลงไปสู่พื้นที่ทั่วประเทศ
พวกผู้นำฝันว่า ประเทศไทยนับจากนี้จะถูกนำเข้าสู่การสร้างงานที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนคน สร้างระบบเข้ามาจัดการธุรกิจให้เกิดความเชื่อมโยงแบ่งหน้าที่กันทำ แทนที่ธุรกิจจะรวมศูนย์อยู่กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งอย่างผูกขาดเหมือนที่ผ่านมา
เป็นความพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างกระจายโอกาสมากกว่า
ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในเครือข่ายของระบบธุรกิจแบบใหม่ เหมือนที่กูเกิล ยูทูบ อูเบอร์ เฟซบุ๊กทำให้ต่างคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเดียวกัน
ในพื้นที่เดียวกัน คนคนหนึ่งเป็นได้ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิต หรือผู้บริการ ต่างคนต่างบริหารจัดการในส่วนของตัวไป
ที่คือความฝันของผู้นำที่ต้องบอกว่างดงาม
เพียงแต่ความงดงามนั้นจะเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดในความฝัน ขณะที่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่งหรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ได้ยินอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ เนื่องจากการปรับวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกัน ให้ต่างคนต่างรับผิดชอบในบทบาทที่ตัวเองเลือกนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นง่ายๆ
ที่จำเป็นที่สุดคือการสร้างระบบคิดขึ้นมาใหม่
ระบบคิดที่สำคัญที่จะทำให้หล่อหลอมความหลากหลายให้ดำเนินร่วมกันได้ โดยแต่ละคนตระหนักในบทบาทของตัวเองนั้น คือระบบคิดที่จะต้องยอมรับในความเชื่อที่ต่างกัน
เมื่อในขณะที่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ วางยุทธศาสตร์กันใหญ่โต และเอาจริงเอาจังว่าจะต้องทำงานกันถึง 20-30 ปี เพื่อทำให้มีความคิดสร้างสรรค์อย่างหลากหลาย และเชื่อมโยงความหลากหลายนั้นเข้าด้วยกัน เป็นโครงสร้างเศรษฐกิจยุค 4.0 ให้ประเทศ
แต่ในการจัดการกับวิถีชีวิตของผู้คนในทางสังคม และการเมือง กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เอาแต่บีบบังคับให้ผู้คนเห็นไปในทางเดียวกัน มีการใช้กำลังและอำนาจเข้าไปจัดการความแตกต่างอย่างเด็ดขาด กระทั่งความแตกต่างทางความเชื่อที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต่างกันมาตั้งแต่ระดับกรรมพันธุ์ จนถึงการหล่อหลอมเลี้ยงดู และปมชีวิตที่กดดันความเป็นไป
การใช้อำนาจข่มกดให้ความแตกต่างมีไม่ได้ในสังคม ย่อมส่งผลต่อระบบความคิดความเชื่อ
ความเกรงกลัวที่ทำให้ไม่กล้าแสดงออกในความคิดที่ต่างออกไป ไม่ได้ส่งผลต่อสังคมเท่านั้น แต่ลามถึงผลต่อความคิดสร้างสรรค์ในทุกทาง
ธรรมชาติของการสร้างระบบคิดมนุษย์เป็นเช่นนั้น
ผู้มีกรรมพันธุ์ของนักอนุรักษนิยมย่อมยากที่จะเข้าไปใช้ระบบคิดแบบผู้มีกรรมพันธุ์แบบเสรีนิยมได้อยู่แล้ว
ยิ่งมีการใช้กำลังอำนาจมากดข่มไว้อีก
ความหวังว่าความคิดสร้างสรรค์ที่จะสนองตอบธุรกิจยุคดิจิทัล กิจการแบบสตาร์ตอัพ สำหรับโลกยุค 4.0 ย่อมเป็นเรื่องยากจะเป็นไป