ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
“เชื้อชาติ” ในประวัติศาสตร์ไทย บงการความคิดคนให้รักและชัง
เป็นส่วนหนึ่ง (ในจำนวนหลายส่วน) กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เหตุจากประวัติศาสตร์ไทย มีลักษณะสำคัญดังนี้
(1.) ประวัติศาสตร์เชื้อชาติ (ที่ถูกทำให้เชื่อว่า) ของคนไทยแท้ เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์
(2.) ถูกใช้ปลุกระดมการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” 85 ปีมาแล้ว พ.ศ. 2482
(3.) ยกย่อง “ความเป็นไทย ไม่เหมือนใครในโลก” ขณะเดียวกัน ด้อยค่าคน “ไม่ไทย” ชาติพันธุ์ต่างๆ
(4.) ด้อยค่ามลายูปัตตานี ทำให้มีความรุนแรงหลายครั้ง สืบมาจนปัจจุบัน ยังแก้ไม่ตก คือ กรณีตากใบ
มาจากผู้ปฏิบัติรุนแรงที่ได้รับการสั่งสมจากประวัติศาสตร์ไทยว่าตนเป็นไทยแท้ ส่วนผู้ชุมนุมประท้วงเป็นชาวมลายู “ไม่ไทย”
ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เห็นชาวมลายูไม่ใช่คน
กรณีตากใบ
เหตุการณ์จลาจลที่หน้า สภ. ตากใบ จ. นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 (20 ปีที่แล้ว)
เริ่มต้นจากการชุมนุมเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จำนวน 6 คน ที่ถูกจับกุมตัว
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกไปสอบสวนหลังพบว่าอาวุธปืนของชุด ชรบ. ถูกคนร้ายปล้นไป
โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชรบ. ทั้ง 6 คน
จนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ต้องทำการปิดล้อมพื้นที่ และสลายการชุมนุม โดยมีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ชุมนุม 6 คน จากนั้นจึงมีการจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุม จำนวน 1,370 คน
จากนั้นได้ขนย้ายขึ้นรถบรรทุกทหารไปค่ายอิงคยุทธ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 85 คน และถูกจับกุมประมาณ 1,300 คน
ล่าสุดรัฐบาลต้องจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตรายละ 7.5 ล้านบาท และผู้บาดเจ็บรายละ 500,000 บาท
(ที่มา : มติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2567 หน้า 16)
เชื้อชาติไม่มีจริงในโลก จากผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ได้ร่วมกันประกาศหลายปีแล้ว
ประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลก ทยอยยกเลิกเชื้อชาติ
ในไทย ยังยึดกุมและสืบทอดความเชื่อเรื่องเชื้อชาติ เก็บไว้ในประวัติศาสตร์ไทย
ยังไม่พบความเคลื่อนไหวของนักวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดี เพื่อแก้ไขประวัติศาสตร์ ด้วยการยกเลิก “เชื้อชาติ” ในประวัติศาสตร์ไทย จึงมีผลให้สังคมไทยไม่หยุดด้อยค่าชาติพันธุ์อื่นที่ “ไม่ไทย”
รัฐบาลไทย ไม่ลดปฏิบัติการรุนแรงต่อชาติพันธุ์ “ไม่ไทย” โดยเฉพาะมลายู กรณีตากใบ, กะเหรี่ยง กรณีบางกลอย
เชื้อชาติในประวัติศาสตร์ไทย เป็นต้นตออย่างหนึ่ง (ในหลายอย่าง) กระตุ้นความรุนแรงในสังคมไทย ที่มีต่อคนในประเทศไทย ยิ่งปล่อยนนานไป คนเดือดร้อนยิ่งมีมาก
1.
ประวัติศาสตร์เชื้อชาติไทย
ประวัติศาสตร์ไทย (กระแสหลัก) ของทางการ เป็นประวัติศาสตร์เชื้อชาติ ของ “คนไทยแท้ เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์”
สถาปนาสำนึก “คลั่งเชื้อชาติไทย” สนองการเมือง “ชาตินิยมไทย” สนับสนุนการกีดกันชาติพันธุ์อื่น และรังแกคนอื่นที่ “ไม่ไทย”
มีกำเนิดในสังคมที่ถูกปิดล้อมทางการเมือง เรื่อง “เชื้อชาติ”และ “รัฐชาติ” ทั้งจาก “ภายนอก” และ “ภายใน”
(1.) การเมืองภายนอก
จากยุโรป ซึ่งมีพลังสูงมาก แผ่ไปทั้งโลกเรื่องเชื้อชาติกับรัฐชาติ เพื่อล่าอาณานิคมมากกว่า 250 ปีมาแล้ว เรือน พ.ศ. 2300 (ตรงกับสมัยปลายอยุธยา)
หลังอินโดจีนตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส นักค้นคว้าจากฝรั่งเศสมี “อคติ”
“อคติ” เหล่านี้ กระตุ้นความขัดแย้งรุนแรง โดยเฉพาะไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ด้วยการแปลความหลักฐานโบราณคดี ตามสำนึก “เชื้อชาติ” และ “รัฐชาติ” สมัยใหม่ ในระบบเมืองขึ้น ซึ่งตรงข้ามความจริง ตามประเพณีดั้งเดิม ที่เป็น การเมืองระบบเครือญาติ ทางการแต่งงาน
(2.) การเมืองภายใน
ชาตินิยมคลั่งเชื้อชาติไทย ซึ่งรับแนวคิดจากยุโรปเรื่องเชื้อชาติกับรัฐชาติ แผ่ถึงสยามมากกว่า 150 ปีมาแล้ว เรือน พ.ศ. 2400 (ตรงกับสมัยต้นรัตนโกสินทร์) มีพลังต่อสังคม ดังนี้
(ก.) กระตุ้นชนชั้นนำสยาม มีสำนึกคลั่งเชื้อชาติไทย จึงเปลี่ยนชื่อประเทศ จากประเทศสยาม เป็นประเทศไทย เมื่อ 85 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2482
[เรื่องนี้นายปรีดี พนมยงค์ เขียนเล่าไว้เองว่าท่านเป็น “เสียงข้างน้อย” จึงไม่สำเร็จในการคัดค้านการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย]
(ข.) จากนั้นชนชั้นนำสยาม บงการให้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ จากประวัติศาสตร์สยาม ของชาวสยาม เป็นประวัติศาสตร์ไทย ของคนไทยแท้ “เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์” มีถิ่นกำเนิดในจีน [ตามการค้นคว้าของชาวยุโรป—ไม่ใช่จากชาวสยาม] ต่อมาถูกจีนรุกราน ต้องถอยร่นลงไปตั้งกรุงสุโขทัย เป็นราชธานีแห่งแรกของไทย
(ค.) สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ด้วยการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” ผู้คัดค้านหรือคิดต่างจากประวัติศาสตร์ไทยแนวเชื้อชาตินิยม อาจถูกปิดปากใส่ร้ายว่าไม่รัก “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ด้วยการตั้งข้อหาต้องสงสัยมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และมีโอกาสถูกจับติดตะรางขังลืม
[จิตร ภูมิศักดิ์ และนักหนังสือพิมพ์สมัยนั้นหลายคน ถูกจับติดตะราง ขังลืม ด้วยข้อหาต่างๆ เหล่านี้]
2.
ประวัติศาสตร์ไทย แก้ไขหลายครั้ง
คนไทยแท้มีถิ่นกำเนิดในจีน ถูกรัฐบาลไทยแก้ไขหลายครั้ง เพราะนักวิชาการไทย และนานาชาติ คัดค้าน แล้ววิพากษ์วิจารณ์นานมากกว่า 50 ปีมาแล้ว เนื่องจากไม่พบหลักฐานสนับสนุนทางวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา
ประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้งานเป็นทางการ มีลักษณะสำคัญดังนี้ (1.) ประวัติศาสตร์ของคนไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ (2.) ถิ่นกำเนิดในจีน
ดังนั้นจึงมีการแก้ไขแต่ละครั้ง สรุปสาระสำคัญดังต่อไปนี้
ครั้งแรก
คนไทยแท้มีถิ่นกำเนิดบริเวณเทือกเขาอัลไต (ปัจจุบันอยู่ในประเทศมองโกเลีย ซึ่งอยู่เหนือจีนขึ้นไปอีก) แต่ถูกคัดค้านหนัก ว่าไม่มีหลักฐานวิชาการสนับสนุน
ในที่สุด ต้องยกเลิก เรื่องคนไทยแท้มีถิ่นกำเนิดเทือกเขาอัลไต แล้วลดพื้นที่ให้ต่ำลงไปทางใต้ของจีน บริเวณอาณาจักรน่านเจ้า
ครั้งที่สอง
คนไทยแท้เป็นเจ้าของอาณาจักรน่านเจ้า บริเวณมณฑลยูนนาน ประเทศจีน แล้วถูกจีนรุกรานขับไล่ คนไทยต้องหนีลงไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน แต่ถูกคัดค้านจากนักวิชาการนานาชาติและนักวิชาการจีน ดังนี้
(1.) นักวิชาการนานาชาติ ราว 50 ปีที่แล้ว คัดค้าน ว่าไม่เคยพบหลักฐานเรื่องอาณาจักรน่านเจ้าเป็นของคนไทย
(2.) นักวิชาการจีนที่ยูนนาน ราว 40 ปีที่แล้ว คัดค้าน เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยกล่าวหาว่าจีนรุกรานขับไล่ไทย ทำให้จีนเสียหาย กลายเป็นผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ไทย โดยได้รับ “ไฟเขียว” จากรัฐบาลจีนให้ร่วมกันเขียนบทความทางวิชาการเป็นภาษาจีน แล้วแปลเป็นภาษาไทยและอังกฤษ คัดค้านอย่างเป็นทางการ ว่า (1.) จีนไม่เคยขับไล่คนไทยจากน่านเจ้า (2.) เพราะน่านเจ้าไม่มีคนไทยหรือคนพูดภาษาไทย (3.) เนื่องจากน่านเจ้าเป็นอาณาจักรของชนชาติไป๋ กับ ยี๋ (พูดตระกูลภาษาจีน-ทิเบต)
ต่อมานักวิชาการจีน เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน เชิญคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย (สำนักนายกรัฐมนตรี) ไปทัศนศึกษาเมืองต้าหลี่ (ศูนย์กลางอาณาจักรน่านเจ้าโบราณ) ซึ่งไม่พบหลักฐานหรือร่องรอยอะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับคนไทย
ในที่สุด ต้องยกเลิก คนไทยเป็นเจ้าของอาณาจักรน่านเจ้า แล้วถอดออกจากประวัติศาสตร์ไทย เรื่องจีนรุกรานขับไล่ไทย
ครั้งที่สาม
เริ่มคลุมเครือ และ เลื่อนลอย ว่าคนไทยเป็นใคร? มาจากไหน? แต่ยังไม่ทิ้งว่าถิ่นกำเนิดจากจีน ดังนี้
(1.) ไม่ระบุว่ามีคนไทยเชื้อชาติไทยแท้ แต่ไม่ทิ้งแนวคิด “เชื้อชาติ” เริ่มอธิบายอย่างคลุมเครือและเลื่อนลอยว่าคนไทย “มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ”
(2.) เชื้อชาติไทย (ที่หลากหลาย) มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของจีน
(3.) ต้องการยก “สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย” แต่ไม่พบหลักฐานวิชาการสนับสนุน เลยโมเมกล้อมแกล้มว่าสุโขทัย “อาณาจักรแรกๆ” ของไทย แล้วจัดสุโขทัยไว้ลำดับแรกของเรื่อง “กำเนิดรัฐไทย”
ในที่สุดไม่กล้าฟันธง ว่าคนไทยทั้งหมดมาจากตอนใต้ของจีน แต่ “ตีมึน” ว่าคนไทย “บางพวก” มาจากตอนใต้ของจีน และยก “ยันต์กันผี” ว่าคนไทยมาจากที่อื่นด้วย โดยอ้างอิงถิ่นกำเนิดทั้ง 5 แนวคิด จากนักค้นคว้าและนักวิชาการผ่านๆ มา
3.
รัฐบาลไทย “ไม่เลิก” เชื้อชาติไทย
ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักของทางการ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ-การเมือง สืบเนื่องยาวนานราว 85 ปีมาแล้ว ดังนี้
(1.) ถูกใช้งานสนองการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” แล้วกีดกันคนจำนวนมหาศาลในไทยที่ “ไม่ไทย” ออกจากความเป็นไทย ราว 85 ปีมาแล้ว จนทุกวันนี้
(2.) สร้างปมเด่นเพื่อกลบเกลื่อนปมด้อยว่า “ความเป็นไทย ไม่เหมือนใครในโลก” แล้วข่มเหงชาติพันธุ์เครือญาติ ได้แก่ มลายู, กะเหรี่ยง, ลาว, เขมร ฯลฯ เป็นปัญหายืดเยื้อคาราคาซังยังแก้ไม่ตกจนปัจจุบัน
(3.) ล่าสุดถูกใช้งานสนองการเมืองเผด็จการทหาร เพื่อ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” เศรษฐกิจ-การเมือง เสียหายถึงปัจจุบัน โดยใช้เป็นเครื่องมือใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามว่าไม่รักชาติ ตาม “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” ที่เพิ่งสร้าง แล้วพิมพ์เผยแพร่ทั่วประเทศ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2558
หนังสือ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม รับคำสั่งรัฐบาลอำนาจนิยมที่มาจากรัฐประหาร (เมื่อ พ.ศ. 2557) ค้นคว้า รวบรวม แล้วเรียบเรียง พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2558 “ไม่เลิก เชื้อชาติไทย” ดังนี้
“ถิ่นเดิมของคนไทยน่าจะอยู่บริเวณทางตอนใต้ของจีน หรือตอนเหนือของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ต่อมาจึงได้อพยพเคลื่อนย้ายไปตั้งถิ่นฐานยังพื้นที่ต่างๆ ตามที่ปรากฏในปัจจุบัน” [ข้อความ หน้า 37]
สภาพความจริง ตามหลักฐานวิชาการโบราณคดีมานุษยวิทยา ดังนี้
(1.) คนไทยไม่มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของจีนสมัยโบราณ
ไม่มีคนเรียกตนเองว่าไทย ที่มีความหมายอย่างเดียวกับคนไทยในประเทศไทยปัจจุบัน
(2.) ตอนใต้ของจีนมีคนพูดภาษาตระกูลไท-ไต หรือ ไท-กะได แต่ไม่ใช่คนไทย
เขาเรียกตนเองตามชื่อชาติพันธุ์ของตน ได้แก่
ไตลื้อ-ชาวลื้อ (สิบสองพันนา), ไตอาหม-ชาวอัสสัม (ในอินเดีย),
ไตมาว-ชาวลุ่มน้ำมาว (ในพม่า), ไทจ้วง-ชาวจ้วง (ในกวางสี),
ไทเวียงจันท์-ชาวเวียงจันท์ (ในลาว), ไทบ้าน-ชาวบ้าน (ทั่วไป)
(3.) ไท, ไต แปลเหมือนกันว่าคน (หรือชาว) ที่ไม่หมายถึงคนไทย อย่างเดียวกับคนในประเทศไทย
ทางใต้ของจีน (บริเวณโซเมีย) ฮั่นเรียกกลุ่ม “ไม่ฮั่น” ว่า ฮวน, หมาน, เยว่ หมายถึง เหี้ย, ป่า เถื่อน, ผีป่า
“ไม่ฮั่น” ตอบโต้ว่ากูเป็นไท-ไต, กูเป็นคน ไม่ใช่เหี้ย, ไม่ป่าเถื่อน, ไม่ใช่ผี (สรุปใหม่จากหนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์)
(4.) ไท หรือ ไต มี “วีรบุรุษ” หรือผู้นำของตนเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับ “วีรบุรุษ” ในประวัติศาสตร์ไทย
เขาจึงไม่รู้จักพ่อขุนรามคำแหง, พระเจ้าอู่ทอง, พระนเรศวร, พระเจ้าตาก ฯลฯ เพราะไม่ใช่ “วีรบุรุษ” ของเขา
(5.) คนไทย มีเริ่มแรกในเมืองอโยธยา (900 ปีมาแล้ว) เรือน พ.ศ. 1700 มาจากชาวสยาม หลายชาติพันธุ์นับไม่ถ้วน เรียกตนเองว่าไทย หลังรับศาสนาพุทธ เถรวาท ลังกาวงศ์ ด้วยการลากคำว่าไท เข้าบาลี เป็น เทยฺย แล้วกลายเป็นไทย
(6.) ภาษาไทย มีเริ่มแรกในเมืองอโยธยา (พร้อมคนไทย) มาจากภาษาสยาม ปะปนภาษาต่างๆ หลายภาษา ได้แก่ ไท-ไต, มอญ-เขมร, ชวา-มลายู, จีน, อินเดีย (บาลี-สันสกฤต), เปอร์เซีย (อิหร่าน) ฯลฯ
4.
“เชื้อชาติ” ไม่มีในโลก
24 ปีที่แล้ว 2543 นักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ใน “โครงการจีโนมมนุษย์” ร่วมกันประกาศว่า เชื้อชาติไม่มีในโลก เพราะ “ความเชื่อในเชื้อชาติ ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ” (ศ. ดร. เจ. เครก เวนเทอร์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ)
นับแต่นั้น นานาชาติก็ประกาศยกเลิกเชื้อชาติ (RACE) อาจมีตกค้างบางประเทศ เช่น ตกค้างในประวัติศาสตร์ไทย
เชื้อชาติ (Race) ไม่มีอยู่จริง
เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา รัฐสภาฝรั่งเศสมีมติถอดคำว่า “เชื้อชาติ (Race)” ออกจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยใช้คำว่า “เพศ (sex)” แทนที่คำว่า “เชื้อชาติ”
การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่นี้ยืนยันว่า พลเมืองของฝรั่งเศสมีความเท่าเทียมกัน “โดยไม่คำนึงถึงเพศ แหล่งกำเนิดหรือศาสนา”
ซึ่งกระแสเรียกร้องให้มีการลบคำว่า “เชื้อชาติ” ออกนั้น เกิดขึ้นทั้งจากภายในประเทศฝรั่งเศสเอง รวมถึงดินแดนในอาณัติต่างๆ โดยเฉพาะในแถบมหาสมุทรอินเดียและทะเลแคริบเบียนอีกด้วย——
การจัดหมวดหมู่หรือแบ่งแยกกลุ่มคนจากเชื้อชาติล้วนได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของนาซีเยอรมันแทบทั้งสิ้นที่เป็นสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายและสยดสยองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
การถอดคำว่า “เชื้อชาติ” ออกจากรัฐธรรมนูญ อาจมีส่วนช่วยลดการแบ่งแยกเชื้อชาติ การดูถูกเหยียดหยามและการเลือกปฏิบัติในสังคมได้บ้างไม่มากก็น้อย
อันที่จริง การกำจัดคำว่า เชื้อชาติ หรือ Race ออกจากกฎหมายสูงสุดของประเทศนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นไปตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เมื่อโครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ (The Human Genome Project) เสร็จสิ้นลงและได้มีการประกาศออกมาเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2543 ที่ทำเนียบขาว ศ. ดร. เจ. เครก เวนเทอร์ ผู้นำทางการวิจัย ดีเอ็นเอ ได้ประกาศว่าความเชื่อเรื่องเชื้อชาติ (Race) นั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ใดๆ
(ปรับปรุงจากข้อเขียนของ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ใน มติชนรายวัน ฉบับวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 หน้า 16)
เชื้อชาติไทยเพิ่งถูกสร้างให้มี
“ทฤษฎีเชื้อชาติของฝรั่งซึ่งเข้ามาจัดการสังคมของคนไต-ไท-ลาว ด้วยการสำรวจประชากรภายใต้รัฐอาณานิคมของตน และทำให้โลกทรรศน์ของพวกเขาเปลี่ยนไป โดยเฉพาะชนชั้นนำซึ่งมักได้รับอิทธิพลความคิดฝรั่ง”
นิธิ เอียวศรีวงศ์ บอกไว้ในหนังสือ ความไม่ไทย ของคนไทย (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2559 หน้า 42-44) แล้วบอกต่อไปอีก โดยสรุปดังนี้
คำ Race มีใช้มาแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่หมายเพียงกลุ่มของอะไรที่เหมือนหรือคล้ายกันเท่านั้น ส่วนความหมายใหม่ที่เรียกว่า “เชื้อชาติ” นั้น เป็นความหมายที่ถูกสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี้เอง
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การจัดหมวดหมู่คนด้วยแนวคิดเรื่อง “เชื้อชาติ” เพิ่งนำมาใช้ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือถ้าเทียบประวัติศาสตร์ไทย คือหลัง ร.5 ลงมา
แนวคิดเรื่อง “เชื้อชาติ” ช่วยสร้างสำนึกอัตลักษณ์ของคนไต-ไท-ไทย-ลาวให้ขยายกว้างขึ้น ไปรวมเอาคนที่สมัยก่อนไม่ได้คิดว่าเกี่ยวพันอะไรกับตัว ให้กลายเป็น “เชื้อชาติ” เดียวกันหมด
“เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ทฤษฎี ‘สามัคคีชนเผ่าไทย’ หรือ Pan-Thaiism ของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีลูกค้าในประเทศไทยสืบมาจนทุกวันนี้ แม้เป็นทฤษฎีที่สร้างขึ้นจากข้อมูลทางวิชาการที่เลอะเทอะเต็มทีก็ตาม”
“เชื้อชาติไทย” ไม่มี—แต่ที่มีคือ “ลูกผสม”
ต้นปีนี้เอง วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 นักโบราณคดี (มหาวิทยาลัยศิลปากร) และนักพันธุศาสตร์ (มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก) ร่วมกันถอดรหัสสืบรากมนุษย์โบราณในไทย (จากตัวอย่างที่แม่ฮ่องสอน) พบว่า คนในไทย (ที่ปางมะผ้า) มีการผสมผสานทางชาติพันธุ์อย่างน้อย 1,700 ปีมาแล้ว เท่ากับยืนยันด้วยผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ว่า ไม่มีเชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์
[จากงานวิจัยของ ศ. ดร. รัศมี ชูทรงเดช (นักโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) และ รศ. ดร. วิภู กุตะนันท์ (นักพันธุศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก ผู้ศึกษาดีเอ็นเอกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย) มีการแถลงข่าวที่ท้องพระโรง หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567]
“เชื้อชาติ” ไม่มีในโลก และ “เชื้อชาติไทย” ก็ไม่มี ทั้งหมดนี้ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะทั่วไป ทั้งในโลกและในไทย
แต่ไม่พบความเคลื่อนไหวในชุมชนวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดีมานุษยวิทยา
5.
ชำระประวัติศาสตร์เชื้อชาติ
ประวัติศาสตร์ไทย มีรากเหง้าจากประวัติศาสตร์สยาม ตรงตามพระราชดำรัส ร.5 ทรงเปิดโบราณคดีสโมสร 117 ปีมาแล้ว พ.ศ. 2450
(1.) ยกเลิก “เชื้อชาติไทย” และ ยกเลิก “ความเป็นไทย ไม่เหมือนใครในโลก”
(2.) ซื่อตรงต่อหลักฐานวิชาการ ว่า ความเป็นคน มีก่อนความเป็นไทย
เพราะ ความเป็นไทยถูกสร้างหลังความเป็นคน
(3.) ความเป็นไทยมีพัฒนาการจากความเป็นคน ทั้งในอุษาคเนย์และในโลก
เมื่อซื่อตรงต่อหลักฐานโบราณคดี จะพบว่าไทยมาจากสยาม ครั้นต่อมาสยามถูกเปลี่ยนเป็นไทย เมื่อ 85 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2482
ประวัติศาสตร์ไทย มาจากประวัติศาสตร์สยาม
ประเทศไทยมาจากประเทศสยาม และคนไทยมาจากชาวสยาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ได้จากความเป็นมาของดินแดนและผู้คนในอุษาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปีมาแล้ว สืบเนื่องถึงปัจจุบัน โดยมีหลักฐานทั้งที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ ตั้งแต่วัฒนธรรมบ้านเก่า (กาญจนบุรี), วัฒนธรรมบ้านเชียง (อุดรธานี), ถึงวัฒนธรรมโขง-ชี-มูล (ที่ราบสูงโคราช) ที่หลอมรวมเป็นวัฒนธรรมสยาม (ลุ่มน้ำเจ้าพระยา) แล้วกลายเป็นไทย
[ไม่เรียกร้องเปลี่ยนชื่อประเทศกลับไปเป็นสยาม ที่อ้างถึงสยามเพื่อให้เป็นไปตามหลักฐานจริงเท่านั้น]
(1.) คนไทย มาจากชาวสยาม ซึ่งเป็นลูกผสมหลายชาติพันธุ์ หมายถึงคนในประเทศไทย มีบรรพชนเป็นคนหลายชาติพันธุ์ ที่ถูกเรียกชาวสยามในอุษาคเนย์ หรือ คนหลายชาติพันธุ์ที่ถูกเรียกชาวสยามในอุษาคเนย์ ล้วนเป็นบรรพชนคนไทยและคนในประเทศไทย (เหนือ, อีสาน, กลาง, ใต้)
(2.) สยาม มาจากคำว่าซำ, ซัม (กลายเป็น “คำ” เช่น บ้านหนองนาคำ) แปลว่าดินดำน้ำชุ่มอุดมสมบูรณ์ พบทั่วไปในบริเวณโซเมีย (ที่สูงแห่งเอเชีย)
มอญ-เขมร เรียก เซียม จีน เรียก เสียน, เสียม
[รายละเอียดมีมากในหนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2519]
(3.) ชาวสยาม หมายถึงคนลูกผสมหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” นับไม่ถ้วน มีกระจัดกระจายตั้งแต่จีน, พม่า, ลาว, อินเดีย (อัสสัม), ลุ่มน้ำโขง, สาละวิน, เจ้าพระยา, ลงไปคาบสมุทร โดยมีภาษากลางเป็นภาษาไท-ไต-ไทย-ลาว
[ภาษากลางทางการค้าอาจใช้ภาษาอื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไท-ไต เช่น ภาษามลายู (พวกจามในเวียดนาม) แต่นั่นไม่ถูกเรียกเป็นชาวสยาม]
(4.) สยามดั้งเดิม อยู่ลุ่มน้ำมูล หมายถึง
(หนึ่ง) ชาวสยามเก่าสุด ที่รวมตัวเป็นเมืองใหญ่ มีระบบการเมืองการปกครองแข็งแรง (ด้วยวัฒนธรรม “ไม่เขมร”)
(สอง) มีศูนย์กลางอยู่เมืองเสมา (อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา)
(สาม) พบหลักฐานจากภาพสลักปราสาทนครวัด มีจารึกภาษาเขมรว่า “เสียมกุก” อ่านเป็นไทยว่า “สยามกก” แปลว่า สยามดั้งเดิม มีการเมืองระบบเครือญาติทางการแต่งงานโดยผู้หญิงเป็นพลังเชื่อมโยงอำนาจรัฐต่อรัฐ
(สี่) เครือข่ายใหญ่ ซึ่งเป็นเครือญาติของสยาม มี 3 แห่ง
ก. ลุ่มน้ำโขง คือ เวียงจันท์ (ลาว)
ข. ลุ่มน้ำป่าสัก เมืองศรีเทพ (เพชรบูรณ์) และละโว้ (ลพบุรี)
ค. ลุ่มน้ำท่าจีน เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) มีเครือข่ายถึงโยนก (ลุ่มน้ำกก, อิง), หลวงพระบาง (ลุ่มน้ำโขง)
(ห้า) สยามลุ่มน้ำมูล สถาปนาอโยธยา โดยร่วมกับเมืองเครือญาติและเครือข่าย
รับศาสนาพุทธเถรวาท แบบลังกา (นับถือรามเกียรติ์) ประชาชนกลุ่มหนึ่งเริ่มเรียกตัวเองว่าไทย, คนไทย เป็นบรรพชนคนไทยปัจจุบัน
“เสียมกุก” ชื่อขบวนแห่เกียรติยศของชาวสยามดั้งเดิม (ซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิดของกษัตริย์กัมพูชา) อยู่นำหน้าขบวนแห่ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรเมืองพระนคร (มากกว่า 900 ปีมาแล้ว) เรือน พ.ศ. 1650
(ในภาพ) เจ้านายและไพร่พลนุ่งผ้าผืนเดียวเหมือนโสร่ง (ไม่นุ่งถลกแบบเขมร) เป็นเครื่องแต่งตัวตามประเพณีในพิธีกรรมสำคัญ (ไม่แต่งในชีวิตประจำวัน)
เขมรเรียก “เสียมกุก” ภาษาไทยอ่านว่า “สยามกก” หมายถึงสยามดั้งเดิม ซึ่งเป็นลูกผสมหลายชาติพันธุ์ พูดภาษาไท-ไต-ไทย-ลาว [คำว่ากก แปลว่าต้นตระกูล, รากเหง้า, ดั้งเดิม, เริ่มแรก (เช่น ลูกผู้เกิดทีแรกเรียก “ลูกกก”)]
สยามกก คือชาวสยามดั้งเดิมเริ่มแรกที่รวมตัวเป็นรัฐ มีศูนย์กลางอำนาจอยู่เมืองเสมา (ศรีจนาศะ) อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา บริเวณลำตะคอง ลุ่มน้ำมูล มีเครือญาติถึงลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำโขง
ชาวสยามลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล มีเครือญาติและเครือข่ายแผ่ไปลุ่มน้ำป่าสัก-ลพบุรี ถึงลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง จากนั้นร่วมกันสถาปนาเมืองอโยธยา ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เริ่มเรียกตนเองว่าไทย เป็นบรรพชนคนไทยปัจจุบัน
สยาม
พบหลักฐาน และมีการค้นคว้าศึกษา ตกทอดสืบต่อกันมาตามลำดับ ดังนี้
(1.) “เสียมกุก” มากกว่า 900 ปีมาแล้ว จากภาพสลักบนระเบียงปราสาทนครวัด
(2.) สยามเรียกตนเองว่าไทย สมัยอโยธยา มากกว่า 800 ปีมาแล้ว พบหลักฐานอยู่ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ (สมัยพระนารายณ์ฯ อยุธยา) มากกว่า 300 ปีมาแล้ว
(3.) สยาม เป็นโครงสร้างหลักของประวัติศาสตร์ชาติ อยู่ในพระราชดำรัส ร.5 เปิดโบราณคดีสโมสร 117 ปีมาแล้ว พ.ศ. 2450
(4.) สยามมีรากคำจาก ซัม, ซำ หมายถึงบริเวณดินดำน้ำชุ่ม อยู่ในหนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2519 (48 ปีมาแล้ว)
(5.) ชาวสยาม คือ คนหลายชาติพันธุ์ ที่พูดภาษาไทย-ไต-ไทย-ลาว เป็นภาษากลางในการสื่อสารต่างชาติพันธุ์ อยู่ในงานค้นคว้าวิชาการของ ศรีศักร วัลลิโภดม และ นิธิ เอียวศรีวงศ์ หลายสิบปีมาแล้ว